Home>>รีวิว>>แกะกล่องลองใช้ Samsung Jet Bot+ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ซื้อมาช่วงโปรลดราคา 11,490 บาท
กล่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ มีรูปตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นกับ Cleaning station สกรีนอยู่
รีวิว

แกะกล่องลองใช้ Samsung Jet Bot+ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ซื้อมาช่วงโปรลดราคา 11,490 บาท

Samsung Jet Bot+ ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ภรรยาผมซื้อมาใช้แทนตัว Samsung POWERbot Star Wars Limited Edition – Darth Vader ที่ผมซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน โดยตัวที่ซื้อมาเป็นตัวที่มาพร้อมกับ Cleaning station ด้วย ปกติราคา 21,990 บาท เขามาจัดโปรโมชันเหลือ 12,990 บาท แถมได้ส่วนลดเพิ่มอีก 1,500 บาท (หากซื้อเกิน 10,000 บาท) ด้วย สรุปเลยได้ตัวนี้มา 11,490 บาท ในขณะที่ Jet Bot+ รุ่นที่ไม่มี Cleaning station ยังขายราคา 15,990 บาทอยู่เลย คุ้มจะตาย จริงแมะ ทีนี้ได้เวลามาดูกันว่าผ่านไปหลายปี หุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันมีพัฒนาการเป็นยังไงบ้างครับ

ออกตัวล้อฟรีก่อน…

อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้น Samsung Jet Bot+ ตัวนี้คือซื้อมาใช้เองครับ เอามาใช้แทนตัวเก่า แต่ผมเพิ่งได้ลองใช้วันแรกก็คือวันนี้เลย ดังนั้นการรีวิวครั้งนี้จะเป็นการพูดถึงประสบการณ์แกะกล่องลองใช้นะครับ เอาไว้ได้ใช้ไปพักใหญ่ๆ แล้ว จะค่อยเอามาเขียนรีวิวให้ได้อ่านกันอีกที

ตอนที่สั่งก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนหรอกครับ ก็รู้นะว่ามีตัวเครื่องดูดฝุ่นหุ่นยนต์และ Cleaning station แต่ก็ไม่คิดว่ากล่องมันจะใหญ่แบบนี้ครับ เขามาส่งตอนที่คิดว่าจะไม่ได้อยู่บ้าน ตอนหลังคือกลับมาถึงบ้านทัน แต่ดันโทรไปแจ้งให้เขามาส่งที่บ้านไม่ทัน เลยต้องไปรับกลับมาจากที่ป้อม รปภ. ไม่ได้คิดอะไร ก็ขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Segway-Ninebot Kickscooter P65U ไปรับ แหม่ กล่องไม่ใหญ่แน่นะวิ … ใหญ่จนเกือบจะไม่มีที่ยืนเลยฮะ ดีว่าสกู๊ตเตอร์ตัวนี้มันมีที่วางเท้าใหญ่

กล่องใส่เครื่องดูดฝุ่นหุ่นยนต์ Samsung Jet Bot+ วางอยู่บนสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Segway-Ninebot Kickscooter P65U

ก่อนจะใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ มาดูก่อนว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง

แกะกล่องออกมา เออ มันก็สมควรจะใหญ่จริงครับ ตัวเครื่องดูดฝุ่นหุ่นยนต์ Jet Bot+ ก็มีขนาดพอๆ กับ POWERbot ตัวเก่าของผม ส่วน Cleaning station นี่คือแบบว่าใหญ่เบิ้มเลย แต่ดีไซน์มันออกมาดูสวยดีมาก ตัวเครื่องมีสีขาว และส่วนที่เป็นสีเทาสลับคาดมาบ้าง แต่ก่อนจะแกะมาใช้งานต้องดูให้ดีๆ ครบๆ ก่อนนะครับ เพราะมันจะมีพลาสติกใสที่ติดมาเหมือนจะเพื่อกันรอยบางส่วน และมีบางจุดที่ต้องแกะก่อนก่อนใช้งานด้วย (มันจะมีสติกเกอร์บอกเอาไว้)

เครื่องดูดฝุ่นหุ่นยนต์ Samsung Jet Bot+ และ Cleaning station ทั้งคู่มีสีขาว และวางอยู่ด้านหน้าของตู้เสื้อผ้าสีขาวที่มีประตูบานนึงสีเทาเข้ม

นอกจากตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Jet Bot+ และ Cleaning station แล้ว สิ่งอื่นๆ ที่ให้มาภายในกล่องด้วยก็จะมี ใบรับประกันที่เอาไว้ส่งกลับให้กับบริษัท ไทยซัมซุง อิเล็กโทรนิกส์ จำกัด (ไปรษณีย์ลงทะเบียน เราไม่ต้องติดแสตมป์เพิ่ม) ที่ทำให้ผมแอบขำ เพราะยุคนี้สมัยนี้ มันควรลงทะเบียนรับประกันออนไลน์ได้แล้ว มีคู่มือการใช้งาน และเอกสารแนะนำสิ่งที่ควรระวัง มีสายไฟ AC มาให้เส้นนึง สำหรับใช้เสียบกับตัว Cleaning station และมีแถบสติกเกอร์สีแดงมาให้อีกเส้น

นอกจากนี้ก็มีอะไหล่สำรองอย่าง แปรงปัดฝุ่น แผ่นกรองฝุ่นสำหรับถังเก็บฝุ่นภายในตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น และถุงผ้าเก็บฝุ่นสำหรับ Cleaning station มาให้อย่างละชิ้น

สิ่งอื่นๆ ที่มีมาให้ในกล่อง Samsung Jet Bot+ ประกอบไปด้วย ถุงดักฝุ่นและแผ่นกรองฝุ่นสำรอง สายไฟ AC แผ่นสติกเกอร์สีแดง ใบรับประกัน คู่มือการใช้งาน และแปรงปัดฝุ่นสำรอง

มาดูที่ตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ กันก่อนครับ ถ้าเรามองจากด้านบน เราจะเห็นว่าตัวหุ่นยนต์ก็มีดีไซน์เป็นวงกลมเหมือนหุ่นยนต์ดูดฝุ่นทั่วไป ซึ่งเอาจริงๆ ผมชอบดีไซน์ของ POWERbot มากกว่า ที่ด้านที่ดูดฝุ่นของมันจะเป็นเหลี่ยมๆ เข้ามุมไปดูดฝุ่นได้ดีกว่า แต่เขาก็มีการออกแบบแปรงปัดฝุ่นแบบหมุนๆ ขึ้นมาเพื่อจะได้ปัดพวกฝุ่นต่างๆ เข้ามาที่ช่องดูดได้ ซึ่งตอนซื้อมาใหม่ๆ เนี่ย เขาจะมีแผ่นพลาสติกปิดเอาไว้ เพื่อป้องกันชิ้นส่วนนี้เสียหายในระหว่างการขนส่ง อย่าลืมแกะออกก่อนล่ะ

ตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ นี่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 35 เซ็นติเมตรโดยประมาณครับ ฉะนั้นเวลาที่จะจัดห้องแล้วอยากให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันสามารถเข้าไปดูดฝุ่นได้ทั่วๆ ก็ควรคำนึงถึงพื้นที่ว่างให้กว้างมากพอให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันเข้าไปได้ด้วยนะ

ดูที่ด้านล่างของตัว Samsung Jet Bot+ กันบ้างครับ สิ่งที่เราจะเห็นก็จะมี แปรงปัดฝุ่นที่อยู่ทางซ้ายมือด้านบน (จากในรูปด้านล่าง) ตัวแปรงลูกกลิ้งแบบใหม่ ที่ออกแบบมาเป็นเส้นใยเล็กๆ นุ่มๆ ซึ่งเขาว่ามีส่วนผสมของวัสดุเงินต้านไฟฟ้าสถิต เพื่อไม่ให้พวกฝุ่นต่างๆ มาเกาะอยู่ตามเส้นใยพวกนี้

ด้านใต้ของเครื่องดูดฝุ่นหุ่นยนต์ Samsung Jet Bot+

จะสังเกตว่ารอบๆ ตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์ 4 จุด อยู่ที่ด้านหน้า 2 จุด และด้านข้าง ซ้ายและขวาอย่างละจุด เอาไว้ใช้ตรวจสอบพื้นเพื่อกันไม่ให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นนี่ตกบันได หรือตกจากพื้นที่ต่างระดับ แต่อย่างไรก็ดี ผมลองอ่านจากคู่มือการใช้งานเขาให้ระวังพื้นที่ต่างระดับที่มีความสูงไม่เกิน 5 เซ็นติเมตรด้วย เดาว่าตัวเซ็นเซอร์อาจจะไม่สามารถตรวจจับได้ เพราะความสูงมันสูงไม่พอ แน่นอนว่าความสูงที่ระดับนึง ถ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันตกลงไป มันก็อาจจะไถลไปต่อได้ หรือไม่ก็อาจจะค้างเติ่งอยู่ตรงนั้นเลย แต่ไม่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวเครื่อง

ภาพระยะใกล้ของล้อหลักของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+

ด้านใต้ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ มีล้อใหญ่อยู่ 2 ล้อที่เรียกว่าเทคโนโลยี EasyPassTM Wheels ของ Samsung ซึ่งออกแบบมาให้สามารถยกขึ้นและหุบลงได้ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการยกตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นขึ้นไปบนวัสดุจำพวกพรมได้ สังเกตว่าล้อมันจะไม่เรียบ แต่จะมีลักษณะคล้ายฟันปลา นั่นก็เพื่อให้มันสามารถเคลื่อนตัวไปบนพื้นนุ่มๆ ได้นั่นเอง

แปรงปัดฝุ่นแบบยาว และตะแกรงปิด ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+

เราสามารถถอดแปรงปัดฝุ่นอันยาวนี่ออกมาได้ไม่ยากครับ และดันสวิตช์สีฟ้าเพื่อปลดล็อก แล้วก็แกะมันออกมา แล้วก็ถอดล้อออกมาได้เลยครับ ดีไซน์ของแปรงปัดฝุ่นคราวนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแฮะ (ของ POWERbot จะเป็นแบบยาว) และมันจะมีการสลับระหว่างขนแปรงนุ่มๆ กับแผ่นยางบางๆ เพื่อช่วยในการตัดพวกเส้นผมไม่ให้พันกับแปรงลูกกลิ้งนี่

ตรงด้านหน้าของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น จะเห็นโลโก้ Samsung และปุ่มสั่งงาน ซึ่งเป็นแบบ Minimal เลยครับ คือมีแค่ปุ่ม Play/Pause ที่เอาไว้สั่งให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำงานหรือหยุดทำงานชั่วคราว กับ Home ที่กดแล้วก็จะสั่งให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกลับไปที่ Docking station หรือ Cleaning station ความแตกต่างจาก POWERbot ที่ผมใช้คือมันไม่มีจอ LCD ใช้แสดงผลสถานะของการทำงานเลยครับ แต่มันจะมีไฟ LED อยู่ที่ด้านหน้าตรงนี้ใช้แสดงสถานะแทน ส่วนรายละเอียดเขาอยากจะให้ไปดูผ่านแอป SmartThings เอา

เปิดฝาออกมาแล้ว เราก็จะเห็นกล่องดักฝุ่นของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นขนาด 0.3 ลิตร ซึ่งเมื่อแกะออกมาแล้ว เราก็จะเห็นแผ่นกรองฝุ่นขนาดใหญ่ปิดอยู่ ตัวแผ่นกรองฝุ่นนี้วัสดุเหมือนจะเป็นกระดาษนะ แต่ดีไซน์นี้ Samsung บอกว่าสามารถเอาไปล้างได้ทั้งหมดครับ ก็น่าสนใจว่า หากเอาไปล้างบ่อยๆ แล้ว อายุการใช้งานจะเป็นยังไงบ้าง เพราะแผ่นกรองแบบนี้ ผมเจอหลายๆ ที่เขาแนะนำให้แค่เคาะฝุ่นและเอาแปรงมาปัดฝุ่นออก

กล่องเก็บฝุ่นของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ เมื่อเปิดฝาออกมาแล้วเห็นแผ่นกรองฝุ่น

ด้านใต้ของกล่องดักฝุ่น เราจะเห็นด้านนึงมีแผ่นยางปิดอยู่ อันนี้สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยนะ อันนี้เอาไว้เพื่อใช้ร่วมกับ Cleaning station เพื่อให้มันดูดฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่นอันนี้ ไปเก็บไว้ในถุงดักฝุ่นของ Cleaning station ที่มีความจุ 2.5 ลิตรอีกทีนึง

ด้านใต้ของกล่องเก็บฝุ่นของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+

มาดู Cleaning station กันบ้าง มีลักษณะเป็นทาวเวอร์สูงๆ ครับ สูงราวๆ 52.5 เซ็นติเมตร กินเนื้อที่ในการวาง กว้าง 28 เซ็นติเมตร และลึก 40 เซ็นติเมตร แต่เวลาจะเอาไปวางอะครับ ต้องคิดเผื่อขนาดของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นด้วยนะ ถ้าจะให้ดี ควรมีพื้นที่กว้างซัก 40 เซ็นติเมตรครับ

ด้านหลังของ Cleaning station

จุดสังเกตที่ด้านหลังของ Cleaning station เขามีการออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับพันสายไฟด้วย เพื่อให้เอาไว้ใช้พันสายเก็บไม่ให้ดูรกรุงรัง คือ สายไฟเขาก็ให้มายาวประมาณนึงครับ แต่ถ้าเกิดปลั๊กมันอยู่ใกล้ๆ กับตัว Cleaning station ก็จะได้พันสายเก็บได้นั่นแหละ

สายไฟของ Cleaning station ที่พันอยู่ตรงด้านท้ายของ Cleaning station

ด้วยความที่ Cleaning station มันสามารถดูดฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่นในตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ มันก็ต้องมีการระบายอากาศออกได้ด้วย และเพื่อไม่ให้ฝุ่นมันเล็ดลอดออกมาอีก เขาก็มีแผ่นกรองมาให้ด้วย น่าจะเป็นแบบ HEPA ครับ เพราะเขาบอกว่ากรองฝุ่นได้ 99.99% แต่อันนี้ในคู่มือมันบอกว่าไม่ให้เอาไปล้างนะครับ ผิดกับไอ้ตัวที่อยู่ในกล่องดักฝุ่นของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ทั้งๆ ที่ดูๆ แล้ว มันก็เป็นวัสดุแบบเดียวกัน งงใจจริง

ด้วยความที่ตัว Cleaning station มันต้องดูดฝุ่นจากกล่องดักฝุ่นของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นไปที่ถุงดักฝุ่นได้ แต่มันก็อาจจะมีโอกาสที่ฝุ่นที่ดูดเข้ามามันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไปอุดตันระบบดูดฝุ่นได้อยู่ มันก็เลยต้องออกแบบให้มีช่องเปิดให้สามารถเข้าไปทำความสะอาดหรือเอาสิ่งอุดตันออกมาได้ครับ ซึ่งช่องนี้ก็จะอยู่ที่ด้านใต้ของตัว Cleaning station และสามารถถอดได้ไม่ยากครับ

ตรงฐานของตัว Cleaning station ก็จะมีการติดตั้งแผ่นยางกันลื่นเอาไว้ด้วย ตัวฐานที่มีน้ำหนักพอสมควรอยู่แล้ว (ประมาณ 5 กิโลกรัม) ได้แผ่นยางกันลื่นมาช่วยด้วย ก็ช่วยให้มันสามารถเกาะอยู่บนพื้นได้ค่อนข้างดีเลย

ด้านใต้ของฐาน Cleaning station

ด้านบนของ Cleaning station สามารถเปิดออกมาได้ มันมีปุ่มกดอยู่ กดแล้วเปิดฝาขึ้นมา เราก็จะเห็นถุงดักฝุ่นความจุ 2.5 ลิตรของตัว Cleaning station ใต้ฝาปิดเนี่ยจะมีกราฟิกที่เอาไว้แสดงวิธีถอดถุงดักฝุ่นออกมาทำความสะอาด และวิธีแกะฝาด้านหลังกับแผ่นกรองอากาศออกมาทำความสะอาดด้วย

ประสบการณ์ในการใช้งานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ วันแรก

ผ่านไปหลายปี อยากจะบอกว่าประสบการณ์ในการใช้งานเครื่องดูดฝุ่นหุ่นยนต์คือดีขึ้นเยอะมากครับ ทั้งในแง่ของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ ออกแบบมาเป็นแบบ Minimal เน้นให้สั่งงานผ่านแอปเป็นหลักครับ (POWERbot จะมีแถมรีโมตคอนโทรลมาให้เอาไว้สั่งงานได้ สั่งผ่านแอปก็ได้) ซึ่งการตั้งค่าให้เชื่อมต่อกับแอปได้นี่แบบว่าทำได้ง่ายมากเลยด้วย

แอป SmartThings ของ Samsung ในหน้าจอการสั่งงานและตั้งค่า Samsung Jet Bot+

จริงๆ แล้ว การใช้งานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ถ้าเกิดไม่ได้คิดอะไรมาก แค่จะสั่งให้มันทำงานหรือกลับไปชาร์จ สามารถกดจากปุ่มบนตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ แต่ถ้ามีแอป SmartThings ก็จะตั้งค่าและสั่งงานได้มากกว่านั้นมากๆ ครับ คือสามารถสั่งงานหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ ได้ เลือกโหมดการทำความสะอาด เลือกกำลังดูด ตั้งเวลาใช้งาน ฯลฯ

หากใครใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นมาตั้งกะยุคแรกๆ แบบผม จะเห็นวิวัฒนาการของมันครับ ยุคแรกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันก็แค่วิ่งมั่วๆ ชนโน่นชนนี่ไปทั่วโดยกะว่า กว่ามันจะแบตเตอรี่หมดก็คงจะดูดฝุ่นได้ทั้งห้องพอดีแหละ ในยุคนั้นแค่มันมีฟีเจอร์วิ่งกลับไปชาร์จแบตเตอรี่ที่ฐานได้มันก็เมพมากแล้ว

ต่อมา ตัว POWERbot มันจะมีฟีเจอร์ Visionary MappingTM Plus และ FullView SensorTM 2.0 ในการช่วยสร้างแผนที่ห้องเพื่อที่จะให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นจดจำพื้นที่ห้องได้จะได้สามารถวางแผนในการดูดฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในยุคนี้ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นไฮโซๆ หน่อยมันก็จะมีฟีเจอร์นี้กันทุกยี่ห้อ

และล่าสุดนี่ Samsung เขาก็จับเทคโนโลยี LiDAR ที่เป็นเซ็นเซอร์ที่สามารถสแกนสภาพแวดล้อมรอบๆ ในแบบสามมิติได้ ผมรู้จักเซ็นเซอร์นี้ครั้งแรกในปี 2556 ตอนที่ไปงาน Computex ตามคำเชิญของบริษัทรถยนต์ฟอร์ด ตอนนั้นเขาใช้เซ็นเซอร์นี้กับรถยนต์แบบไร้คนขับ คือ ให้รถยนต์ได้รู้ว่ารอบๆ ตัวมีอะไรบ้างจากเซ็นเซอร์นี้ แต่พอเทคโนโลยีมันพัฒนาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็มี LiDAR กันได้ครับ iPhone นี่เอามาใส่ตั้งกะ iPhone 12 Pro

รถยนต์ฟอร์ดแบบไร้คนขับ
ภาพจาก The Verge

หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ นี่ก็มีเซ็นเซอร์ LiDAR เช่นกันครับ เป้าหมายก็คือมันเอามาใช้สแกนภายในห้องของเราเพื่อจะได้สามารถจดจำรูปร่างของห้องหรือบ้านของเราได้ ก็คล้ายๆ กับฟีเจอร์ที่ POWERbot เขามีแหละ แต่มันก้าวหน้าไปอีกขั้น เพราะมันสามารถเรียนรู้และใช้แอปในการกำหนดห้องขึ้นมาได้ด้วย

ส่วนที่เป็น LiDAR Sensor ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+

ด้วยเซ็นเซอร์ LiDAR และความสามารถในการจดจำและแยกแยะโซนห้องต่างๆ ได้ ก็เลยทำให้เราเลือกสั่งหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ ให้ทำความสะอาดเฉพาะโซนได้ หรือกำหนดจุดที่ต้องการให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นนี่ไปทำความสะอาดได้

หน้าจอแอป SmartThings ที่แสดงการสั่งงานของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ เห็นแผนที่ห้องที่แบ่งออกเป็น Closet zone, Working zone, Bed zone และ Bed side zone โดยแต่ละโซนมีเครื่องหมายถูกสีเขียวติ๊กอยู่ และมีปุ่มเขียนว่า Start

ฟีเจอร์อื่นๆ ที่หุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ ทำได้ ก็มีประมาณนี้ครับ

🟢 เลือกโหมดการทำความสะอาดได้ 3 โหมด คือ ทำความสะอาดพื้นที่ห้องทั้งหมดก่อนค่อยมาเก็บขอบกำแพงและมุมต่างๆ ทำความสะอาดขอบกำแพงและตามมุมต่างๆ ก่อน แล้วค่อยทำความสะอาดพื้นที่ทั้งหมด หรือ วิ่งซิกแซกไปมา ทำความสะอาดพื้นที่ห้องทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

🟢 เลือกความแรงของลมดูดได้ 3 แบบ คือ Max ดูดด้วยแรงสูงสุด ดูดให้เต็มที่ใช้แบตเตอรี่เยอะและเสียงดังสุด Smart ดูดด้วยแรงปกติ แต่เมื่อต้องไปดูดฝุ่นบนพรมหรือดูดฝุ่นบริเวณที่มีฝุ่นเยอะ ก็จะใช้แรงลมดูดสูงสุด และ Normal ดูดด้วยแรงปกติ

🟢 เลือกว่าจะให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกลับเข้าฐานเมื่อดูดฝุ่นเสร็จแล้วหรือให้วนดูดไปเรื่อยๆ จนกว่าแบตเตอรี่จะหมด

🟢 สั่งงานให้หุ่นยนต์กลับไปที่ Cleaning station แล้วดูดฝุ่นออกจากกล่องดักฝุ่น

หน้าจอแอป SmartThings ที่กำลังกำหนดห้องน้ำเป็น No-go zone สำหรับหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+

🟢 เลือกดูดฝุ่นได้ตามแผนที่ห้อง ตามจุดที่สั่ง และสามารถตั้งค่าจากแอปเพื่อกำหนด No-go zone พื้นที่ที่จะไม่ให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นไปดูดฝุ่น หรือจะใช้วิธีติดสติกเกอร์บอกก็ได้ (แถมมาในกล่อง) ทำให้เราสามารถสั่งงานหุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้ทำความสะอาดได้ โดยไม่ต้องไปดูดฝุ่นในบางพื้นที่ที่กำหนด

🟢 ตั้งเวลาทำงาน หรือในกรณีที่เราใช้อุปกรณ์จำพวก IoT ของ Samsung กันเยอะๆ เราสามารถใช้แอป SmartThings ในการกำหนด กิจวัตร (Routine) ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป (เช่น ให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำงานเมื่อเราออกจากบ้าน) หรือ เชื่อมโยงการทำงานของอุปกรณ์หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน (Scene) เช่น พอเราออกจากบ้าน ก็ให้สั่งปิดไฟ ปิดแอร์ ให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำงาน เป็นต้น

🟢 ตัวแอป SmartThings สามารถเก็บข้อมูลปริมาณกำลังไฟที่ตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ใช้ไป ทำให้เราสามารถมีข้อมูลรู้ได้ว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเนี่ยกินไฟกี่มากน้อย

เอาจริงๆ นะ แม้ว่าในบ้านหรือในห้องของเราจะปิดประตูหน้าต่างตลอดเวลา มันก็จะยังมีพวกฝุ่นที่เข้ามากับตัวเรา หรือพวกฝุ่นเล็กๆ ที่เล็ดลอดเข้ามาตามช่องทางต่างๆ ได้ นี่ยังไม่นับพวกเส้นผมหรือเส้นขนสัตว์ (ในกรณีที่เลี้ยงสุนัขหรือแมว) อีกนะ อย่างในกรณีของผม เป็นห้องนอน ก็จะมีพวกเส้นผมตกอยู่ทุกวันแหละ ดังนั้นแม้ว่าผมจะได้ให้เจ้า POWERbot ตัวเก่าของผมมันจะดูดฝุ่นไปแล้วเมื่อเย็นวาน ผมก็ยังขอลองของ Samsung Jet Bot+ ให้มันดูดฝุ่นหน่อยครับ

หน้าจอรายงานการทำความสะอาดห้องของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+ ที่ดูได้บนแอป SmartThings

ผมสั่งให้มันดูดฝุ่นในโหมดทำความสะอาดทั้งห้องก่อนและค่อยดูดฝุ่นเน้นๆ ตรงกำแพงและมุมต่างๆ ด้วยแรงดูดแบบ Smart เพราะพื้นห้องนอนผมเป็นพื้นไม้เทียม ไม่ได้มีพรม นี่คือสิ่งที่ผมสังเกตได้ครับ

🟢 หุ่นยนต์จะทำการสแกนห้อง แล้วเปรียบเทียบกับแผนที่ที่เคยทำไว้ (ตอนเชื่อมต่อกับแอป SmartThings ครั้งแรก หุ่นยนต์มันอยากจะสแกนห้องเพื่อทำความรู้จักกับห้องก่อน มันจะให้เราเลือกได้ว่าอยากจะสแกนห้องอย่างเดียวหรือดูดฝุ่นไปด้วยสแกนไปด้วย) เพื่อพิจารณาว่าตอนนี้ตัวมันอยู่ที่ไหน

🟢 ตอนสแกนห้อง หุ่นยนต์จะทำการแบ่งพื้นที่เป็น “ห้อง” ต่างๆ ตามความเข้าใจของมัน เช่น ห้องนอนชั้น 3 ของผม เป็นห้องนอนแบบสตูดิโอ เจ้า Samsung Jet Bot+ มันมองเป็น 4 ห้องครับ ซึ่งคุณจะเลือกว่าจะรวมให้กลายเป็นห้องเดียวก็ได้ หรือจะเอาแบบผม แบ่งห้องเป็นโซนๆ ไปก็ได้เช่นกัน เราสามารถเปลี่ยนชื่อห้องได้ตามใจชอบ

🟢 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นมันไม่ได้ชนดะ หากไปเจอพวกสิ่งของที่วางอยู่ มันก็จะค่อยๆ ชนเบาๆ ครับ (มันยังไงก็ต้องชน เพราะจะได้ปัดเอาฝุ่นที่อยู่ตรงขอบๆ ของวัตถุนั้นๆ ออกมาดูดได้หมดจด) ฉะนั้น หากมีพวกชั้นวางใดๆ ที่ฐานไม่มั่นคง โดนหุ่นยนต์ดูดฝุ่นชนแล้วดันอาจตกหล่นได้ อาจจะต้องเก็บให้ดีๆ ไม่งั้นก็ตั้ง No-go zone ไว้

แปรงปัดฝุ่นของ Samsung Jet Bot+ มีเส้นผมติดพันอยู่

🟢 จุดอ่อนที่ต้องระวังของพวกหุ่นยนต์ดูดฝุ่นคือพวกสายไฟครับ โดยเฉพาะพวกสายไฟเส้นเล็กๆ ที่บางครั้งดวงซวยๆ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นวิ่งผ่าน สายไฟก็ไปพันกับแปรงลูกกลิ้งได้ พวกที่มีแปรงปัดฝุ่นแบบ Samsung Jet Bot+ นี่บางทีก็โดนพันได้เช่นกัน โดยเฉพาะพวกสายชาร์จครับ แล้วพอพัน บางทีก็ทำให้แปรงปัดฝุ่นนี่ชำรุดเสียหายได้เลย (เขาถึงมีอะไหล่สำรองให้) เส้นผมนี่ก็จะไปพันกับแปรงนี่ได้ง่ายๆ เลยครับ คิดว่าอาจจะต้องเอามาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ จริงๆ วิธีทำความสะอาดที่ดีที่สุดคือถอดออกมาล้าง แต่การจะถอดเจ้านี่ออกได้ ต้องเอาไขควงแบบ Phillips มาขันน็อตออกครับ

พรมสีเทาที่ถูกดันไปติดขอบประตูจนยู่ยี่

🟢 พรมที่ไม่ได้หนักมากและไม่ได้เกาะพื้นได้ดีเท่าไหร่ ถ้าเจอหุ่นยนต์ดูดฝุ่นวิ่งผ่าน แทนที่มันจะวิ่งขึ้นไปบนพรม มันจะกลายเป็นดันพรมไปแทนนะครับ อันนี้เจอมาตั้งกะสมัย POWERbot และจนถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีวิธีแก้ไขให้ดีขึ้น

🟢 นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นแบบที่มันมี Cleaning station ซึ่งผมพบว่ามันทำงานได้ดีกว่าที่คิดเยอะนะ คือ มันดูดฝุ่นจากตัวหุ่นยนต์ออกไปเก็บไว้ในถุงดูดฝุ่นซะเกลี้ยงเกลาทีเดียวแม้ว่าจะมีพวกฝุ่นละเอียดและเส้นผมอยู่ด้วยก็ตาม ดูๆ แล้ว ในห้องผมที่ฝุ่นไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ อาจจะดูดได้รัวๆ ทุกวัน แล้วค่อยถอดเอาถุงดักฝุ่นไปเคาะเทฝุ่นทิ้งเดือนละหนก็น่าจะพอไหว

🟢 พื้นที่การดูดฝุ่นประมาณ 10 ตารางเมตร จะใช้เวลาประมาณ 13-15 นาที และใช้แบตเตอรี่ประมาณ 15-17% ฉะนั้น ถ้าจะใช้กับพื้นที่ซัก 50-60 ตารางเมตร ก็น่าจะสุดแล้วแหละ แต่สำหรับคนที่บ้านใหญ่กว่านี้ ก็ใช้ฟีเจอร์การแบ่งห้องมาใช้แบ่งตารางทำความสะอาดครับว่าวันไหน เวลาไหน จะให้ไปทดความสะอาดบริเวณไหน จะได้ทำความสะอาดได้ครอบคลุมทั้งบ้านครับ นอกจากนี้ ถ้าอยากถนอมแบตเตอรี่ ก็ควรจะใช้อย่าให้แบตเตอรี่หมด เหลือไว้ซัก 20% ก็ยังดี (คำนวณคร่าวๆ แล้ว คือเหมาะกับพื้นที่ไม่เกิน 40 ตารางเมตรต่อการออกมาดูดฝุ่น 1 ครั้ง)

ภาพกราฟิกอธิบายตำแหน่งของ Extractor 3 จุดที่อยู่ตรงบริเวณแปรงลูกกลิ้งของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น Samsung Jet Bot+

ความน่ารำคาญนึงของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ผมเจอคือถ้าเส้นผมที่ไปพันกับอีแปรงลูกกลิ้งครับ ตัวผมเองก็ไว้ผมสั้น ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ภรรยาผมนี่เขาไว้ผมยาวประมาณนึง ตอนใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่นแรกๆ คือ วุ่นวายมาก กว่าจะแกะเส้นผมออกมาได้ แต่พอเปลี่ยนมาใช้ POWERbot เนี่ยก็ดีขึ้น เพราะแปรงลูกกลิ้งมันถูกออกแบบมาให้กำจัดผมที่พัดอยู่ออกได้ง่ายๆ แต่ของ Samsung Jet Bot+ เนี่ย ออกแบบมาให้มีตัว Extractors 3 จุดตามรูปด้านบน อันนี้มีไว้เพื่อช่วยให้พวกเส้นผมต่างๆ ไม่ไปตัดพันรอบๆ แปรงครับ

แปรงลูกกล้องของ Samsung Jet Bot+

ถามว่าแล้วมันได้ผลจริงไหม? ผมว่าดีกว่าที่คิดครับ เท่าที่ผมลองดูหลังจากดูดฝุ่นแล้ว ผมเห็นเส้นผมถูกดูดไปเก็บเยอะ บางเส้นก็ไปติดอยู่ที่แปรงปัดฝุ่น แต่ไม่มีผมไปพันที่แปรงลูกกลิ้งเลย … อย่างไรก็ดี นี่เพิ่งทดสอบดูดฝุ่นไปแค่รอบเดียว ตอบยากครับว่าผมจะไม่พันกันจริงไหม เดี๋ยวลองใช้ไปซักพักใหญ่ๆ จะกลับมารีวิวอีกรอบครับ

บทสรุปการแกะกล่องลองใช้ Samsung Jet Bot+

ถ้าคุณได้มาตอนราคา 11,490 บาทแบบผม แถมยังเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีภายใต้โครงการช้อปดีมีคืนด้วย ก็ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากครับ เพราะราคาเต็มอะมัน 20,990 บาท เรียกว่าลดไปครึ่งราคากันเลยทีเดียว ฟีเจอร์ของมันดีงามมาก สามารถดูดฝุ่นทำความสะอาดพื้นห้องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความสามารถในการทำแผนที่ห้องด้วย LiDAR sensor และไม่ต้องคอยทำความสะอาดกล่องดักฝุ่นบ่อยๆ ด้วย เพราะ Cleaning station มันช่วยดูดฝุ่นไปเก็บ

หลังจากได้แกะกล่องลองใช้ ก็ถือว่าประทับใจครับ แต่ยังต้องรอดูในระยะยาว เพราะจากประสบการณ์ในการใช้งานหุ่นยนต์ดูดฝุ่นของ Samsung ความน่ารำคาญของมันคือการหาซื้ออะไหล่สำรองมาใช้ครับ POWERbot ของผมนี่แบตเตอรี่เริ่มไม่เก็บประจุแล้ว (เสื่อมนั่นหละ) ทำงานได้แค่คราวละ 15 นาทีเอง ก็อยากรู้ว่า เกิดต้องหาอะไหล่จำพวก แผ่นกรอง แปรงปัดฝุ่น ถุงดักฝุ่น อันใหม่ หรือเกิดแบตเตอรี่เสื่อม จะวุ่นวายแค่ไหน

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Discover more from บล็อกต๊อกต๋อยของนายกาฝาก

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ ผมใช้แค่ดูว่ามีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ผมกี่คน กี่ครั้ง และดูหน้าเว็บไหนบ้าง ถ้าคุณปิดการใช้งาน ผมก็จะไม่เห็นว่ามีคนเข้ามาอ่านบล็อกของผมกี่คน กี่ครั้ง
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า