Huawei P30 Pro ตัวนี้คือตัวที่ทาง Huawei Thailand เอื้อเฟื้อให้ยืมมารีวิวจริงๆ ครับ ส่วน Huawei P30 ที่พรีวิวไปก่อนหน้า มันแค่เผอิญมาพบกัน (ฮา) แต่ก็เช่นเคย ด้วยความที่ผมเลือกเปลี่ยนสไตล์การรีวิวของผม เป็นแนว “งานอดิเรก” มากขึ้น ฉะนั้น ผมจะขอเน้นรีวิวในแบบที่ผมสมมติบทบาทว่า ถ้าผมซื้อเจ้านี่มาใช้งานแล้ว ผมชอบหรือไม่ชอบตรงไหน มากกว่าที่จะพูดถึงเรื่องของสเปกอะไรพวกนี้มากจนเกินไปนะครับ อันไหนที่มันทำได้ดี หรือเป็นอะไรที่เทคโนโลยีสมัยนี้มันต้องทำได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่รู้จะลงไปถึงรายละเอียดไปเยอะๆ ทำไม แต่ผมจะขอไปให้น้ำหนักการรีวิวกับสิ่งที่ถูกชูเป็น “จุดขาย” ของมันแทนครับ
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
ตัวเครื่อง Huawei P30 Pro ที่ผมได้มารีวิวในครั้งนี้ ทาง Huawei Thailand เขาให้ยืมมาเล่นเป็นเวลา 1 สัปดาห์โดยประมาณ ผมก็นำไปใช้แทนเครื่องประจำที่ผมใช้ ซึ่งทุกความเห็นที่ปรากฏในบทความนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ทาง Huawei Thailand ไม่ได้เข้ามากำกับเนื้อหาใดๆ ทั้งสิ้น และผมเองก็ไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ มาจาก Huawei Thailand เลยครับ (ขับรถออกมาต่างจังหวัดเพื่อหาที่ถ่ายภาพ “คืนที่ดาวเต็มฟ้า” นี่ก็ตังค์ผมกะตังค์แฟนล้วนๆ)
มีอะไรในกล่อง Huawei P30 Pro
เครื่องที่ผมได้มารีวิว มันไม่ใช่เครื่องใหม่แกะกล่อง ฉะนั้นผมไม่ขอเรียกว่าเป็นการแกะกล่องรีวิวนะครับ แต่ภายในกล่อง น่าจะมีของตามที่คุณควรได้ครบแหละ คือ มีตัวเครื่อง Huawei P30 Pro ซึ่งตัวที่ผมได้มาคือสี Black (ดำ) นั่นแหละ แหม่ นึกว่าจะได้สีสันสวยงามอย่าง Aurora หรือ Breaking sunrise (เพราะผมได้รีวิว Huawei P30 สี Breathing crystal ไปแล้ว) แต่ไม่เป็นไร ดำก็ดูขลังดี แล้วก็มีหูฟังแบบ USB Type-C กับสายชาร์จแบบ USB Type-C และ Wall charger แบบ Super Charge 40W มาให้ด้วย

ตัวเครื่องของ Huawei P30 Pro มีขนาดหน้าจอ 6.47 นิ้ววัดตามแนวทแยง ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ความละเอียด 2340×1080 พิกเซล มีกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.0 ดีไซน์เป็นหยดน้ำ ไม่มีปุ่มใดๆ อยู่บนหน้าจอของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นดีไซน์แบบจอเต็มพื้นที่ตามสมัยนิยมของสมาร์ทโฟนยุคนี้ ซึ่งไม่ใช่มีแค่เฉพาะในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอีกต่อไป

ด้านหลังเราจะเห็นกล้องดิจิทัล 4 เลนส์, LED flash และเซ็นเซอร์เลเซอร์เอาไว้สำหรับจับโฟกัสของวัตถุ ซึ่งเดี๋ยวค่อยมาพูดถึงตัวเลนส์ทั้ง 4 อีกทีตอนรีวิวไปถึงเรื่องกล้องแล้วอะนะ ด้านหลังดีไซน์แบบมันวาวเลย ซึ่งพอเป็นสีดำ เวลาจับๆ แล้ว หากมือมีคราบมัน มันก็จะเลอะเห็นได้ชัด ยังดีว่า Huawei เขาแถมเคสมาให้ด้วย โดยเคสจะเป็นซิลิโคนใส ซึ่งแม้จะดูเหมือนเคสราคาถูก แต่ว่ามันคือเคสแบบที่แสดงความสวยงามของการออกแบบมาได้ดีที่สุดแล้วล่ะ

รอบๆ ตัวเครื่องก็ไม่มีอะไรพิสดารไปกว่าสมาร์ทโฟนอื่นๆ ครับ ด้านล่างของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิม ซึ่งรองรับแค่นาโนซิมสองอัน ไม่สามารถใส่ MicroSD card เพิ่มได้นะครับ และถาดใส่ซิมนี่แบบว่า กระจุ๋มกระจิ๋มมากทีเดียว ใส่ซิมด้านละอัน นอกจากนี้แล้วก็จะมีพอร์ต USB Type-C สำหรับเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่อออกจอแสดงผล ชาร์จแบตเตอรี่ ทุกอย่างในพอร์ตเดียวนี่แหละ แล้วก็มีลำโพงของตัวเครื่อง กับรูไมโครโฟนสำหรับสนทนาโทรศัพท์ และบันทึกเสียงตอนถ่ายวิดีโอ

ส่วนด้านบนของตัวเครื่อง ก็มีรูไมโครโฟนที่เอาไว้บันทึกเสียงตอนถ่ายวิดีโอ ให้ได้เสียงแบบสเตริโอ และทำหน้าที่เป็นไมโครโฟนสำหรับ Active noise cancellation ด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีพอร์ตอินฟราเรดด้วย ส่วนด้านขวามือของตัวเครื่อง ก็เป็นปุ่ม Volume กับปุ่ม Power ครับ ข้อสังเกตคือ ไม่มีปุ่ม Assistant ซึ่งเห็นบางแบรนด์เขาเริ่มใส่เข้ามาให้รำคาญเล่นๆ อันนี้ผมแอบถูกใจนะ คือ ตราบเท่าที่ Google Assistant หรือ Assistant ใดๆ บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ยังไม่รองรับการสั่งงานด้วยภาษาไทย ปุ่มนี้ยังค่อนข้างไร้ประโยชน์สำหรับคนส่วนใหญ่ ในภาพรวม ผมว่ามันสวยดีครับ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอื่นๆ หรอกนะครับ และถ้าถามผมว่า ไม่ชอบอะไรในตัว Huawei P30 Pro นี่ ผมคงต้องบอกว่าเป็นเรื่องของหน้าจอแสดงผลที่ทำแบบขอบจอโค้งซ้ายขวา มันไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบเท่าไหร่ ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมหลายๆ ค่าย (ไม่ใช่แค่เฉพาะ Huawei นะ) ชอบทำรุ่นเรือธงมาสองสเต็ป แล้วรุ่นธรรมดาก็จอปกติ แต่พอเป็นรุ่น Plus รุ่น Pro นี่ชอบทำขอบจอโค้งกันจัง มันทำให้หาฟิล์มกันรอยติดยากน่ะ เข้าใจกันไหมเนี่ย แถมเวลาเผลอทำตกหล่นนี่ มันคือจุดแตกก่อนเพื่อนเลยนะเออ
ประสบการณ์ในการใช้งานตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา กับ Huawei P30 Pro
ตัวเครื่อง Huawei P30 Pro หนักราวๆ 192 กรัม ใส่เคสใสเข้าไปด้วย ก็สองขีดโดยประมาณเลย แต่ถามว่ารู้สึกหนักไหม ผมใช้ทั้ง iPhone 8 Plus กะ Xiaomi Mi Mix 3 เป็นปกติอยู่แล้ว เจ้านี่เลยไม่ทำให้รู้สึกว่าหนักอะไรเท่าไหร่

ด้วยขนาดหน้าจอ 6.47 นิ้ว อัตราส่วนการแสดงผลแบบ 19.5:9 ทำให้หน้าจอมีขนาดยาวพอสมควรเลยแหละครับ ส่งผลให้มือใหญ่ๆ แบบผม ก็ยังไม่ใช่ว่าจะใช้มันได้ถนัดๆ นะ คือ ปาดนิ้วโป้งไปด้านบนหรือด้านล่างนี่ไม่ค่อยถึงเท่าไหร่ ถ้าลำพังแค่การท่องเว็บ นี่ยังพอไหว เพราะลากหน้าจอลากลิ้งลงมาแตะด้านล่างได้ แต่โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook หรือ LINE ที่บางทีเราก็ต้องไปแตะไอคอนที่ด้านบนด้วย ก็จะลำบาก ต้องเปิด One-hand mode เอาไว้ เวลาจะแตะอะไรด้านบน ก็ปาดเฉียงๆ จากมุมซ้ายหรือขวา เพื่อย่อหน้าจอลงมา แตะเสร็จแล้ว ก็แตะส่วนที่เป็นสีเทาๆ เพื่อขยายหน้าจอกลับไปตามเดิม ซึ่งตรงนี้ผมลองใช้ดูแล้ว ผมพบว่า
- มันก็ไม่ได้ใช้งานง่ายอยู่ดี เพราะว่ามันต้องแตะจากมุมด้านล่างจริงๆ ซึ่งตอนย่อลงมาแล้ว ด้านบนมันก็ยังอยู่เกินเอื้อมของนิ้วโป้งอยู่ดี นี่ขนาดผมเป็นคนมือใหญ่ๆ แล้วนะ
- มันมีโอกาสไปชนกับ Gesture สำหรับเรียกใช้ Google Assistant ของ EMIUI ซึ่งคือการปิดจากล่างขึ้นบน ตรงมุมด้านล่างของจอ จริงๆ มันควรปิด Gesture นี้ได้ หรือให้เลือกว่าจะใช้ Gesture นี้กับการใช้ One-hand mode ไหม เพราะมันปาดง่ายกว่าทแยงมากมาย

แต่เอาเข้าจริงๆ นะ พอใช้จนชิน เราจะไม่ได้ใช้ One-hand mode ครับ แต่จะเลือกใช้สองมือเลย หรือไม่ก็ถ้ามือใหญ่พอ (แบบผม) ก็จะเริ่มชินกับการขยับตัวเครื่องนิดๆ หน่อยๆ ด้วยนิ้วมือ แล้วก็จะทำให้เราเอื้อมเอานิ้วโป้งไปแตะตามจุดต่างๆ ได้ครับ
ตัวสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ที่ Huawei P30 Pro ปรับมาเป็นการสแกนบนหน้าจอเหมือนกับ Huawei P30 แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันดีกว่า Samsung Galaxy S10/S10+ ไหม แต่เห็นน้องๆ บล็อกเกอร์บางคนบอกว่าดีกว่ามาก แต่ผมไม่เคยรีวิว S10/S10+ เลยไม่สามารถให้ความเห็นได้ แต่ถ้าเทียบกับ Vivo X21 ที่ผมเคยใช้ (ตอนนี้ให้แม่ไปใช้แล้ว) ก็ต้องบอกว่าดีกว่าเยอะมาก เพราะผมมีปัญหากับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอมาก สแกนไม่ค่อยติด แต่ผมไม่มีปัญหานี้กับ Huawei P30 Pro เท่าไหร่ แต่ตอนบันทึกลายนิ้วมือต้องตั้งใจบันทึกนิดนึง
การปลดล็อกด้วยใบหน้าบน Huawei P30 Pro เซ็ตง่ายมาก ส่วนนึงคงเพราะมันไม่ใช่การสแกนแบบ 3D เลยไม่ต้องหันรีหันขวางให้มันจดจำ เราสามารถตั้งค่าให้เวลาที่เราหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา มันก็จะสแกนทันที แล้วปลดล็อกเลย อำนวยความสะดวกได้ดีมาก แต่ด้วยความที่ด้านหน้าดีไซน์หยดน้ำ มันเลยมีแค่กล้องดิจิทัล 32 ล้านพิกเซลเท่านั้น พอตอนแสงน้อยๆ ออกไปทางมืดเลยเนี่ย สแกนหน้าไม่ค่อยได้เลยครับ ซึ่งตรงนี้สู้แม้กระทั่ง Vivo X21 ไม่ได้เลย เพราะอันนั้นเขามีเซ็นเซอร์อินฟราเรดช่วยสแกน แต่แลกมาด้วย Notch ที่กว้างกว่าดีไซน์แบบหยดน้ำเยอะ
พอร์ตอินฟราเรดที่มีมาให้ เป็น IR Blaster ครับ ยิงอินฟราเรดออกไปได้ นั่นคือ เราสามารถใช้ Huawei P30 Pro เป็นรีโมทคอนโทรลได้ครับ ดาวน์โหลดแอปจำพวก Universal remote มาใช้ ก็เวิร์กเลย ผมดาวน์โหลด Peel Remote มา ก็เอามาใช้สั่งงานทีวีที่บ้านได้ สั่งแอร์ก็ได้ครับ
เช่นเดียวกับ Huawei P30 ลำโพงของตัวเครื่องก็เป็นแบบโมโนครับ ให้เสียงดังดี แต่เน้นเสียงสูงและเสียงกลางจนถ้าเปิดดังสุดแล้ว มันเสียดแก้วหูไปหน่อยครับ แนะนำว่าถ้าจะแบบ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม นานๆ หาหูฟังมาใส่จะดีกว่า ซึ่งที่แถมมาให้ในกล่อง ก็มีคุณภาพเสียงที่ดีพอสมควรแล้วครับ จะเลือกใช้อันนี้เลยก็ได้ครับ ไม่ต้องไปหาซื้อใหม่ให้เปลือง แต่หากใครมีหูฟังอันโปรดอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบไร้สายก็ใช้ได้เลยแหละ แต่ถ้าเป็นแบบ 3.5 มม. ต้องไปหาซื้อตัวแปลงมาเองนะครับ ไม่ได้แถมมาให้ในกล่อง
เรื่องของแบตเตอรี่ ถือว่าอึดเอาเรื่องอยู่ แบตเตอรี่ 4,200mAh นี่ ผมใช้ยาวๆ ทั้งวันอยู่รอดครับ ถ้าไม่เน้นเล่นเกม หรือดูหนังมากจนเกินไป ในขณะเดียวกัน ระบบ Super Charge ก็ชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วมากจริงจัง ผมไม่ได้ตั้งใจลองจับเวลาอะไรนะ แต่ถ้ามีเวลาซัก 30 นาที ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้มากเพียงพอสำหรับอยู่ได้ครึ่งวันสบายๆ อะ
ผมลองใช้ Wireless reverse charging ดู ซึ่งจะต้องไปเปิดใช้ฟังก์ชันนี้ในหัวข้อ Battery ก่อน เพราะมันควรจะเปิดเฉพาะตอนอยากใช้งาน ไม่งั้นเปลืองแบตเตอรี่น่าดู เอามาใช้ชาร์จคู่กับ Xiaomi Mi Mix 3 และ iPhone 8 Plus แล้ว ก็โอเคดีครับ สามารถรองรับได้สบายๆ แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผมนะ คือมันหาโอกาสใช้ประโยชน์ได้น้อยในปัจจุบันครับ เพราะการจะเอามาชาร์จสมาร์ทโฟนก็ไม่ได้สะดวกซักเท่าไหร่หรอกนะครับ และไม่ใช่สมาร์ทโฟนทุกยี่ห้อทุกรุ่นจะรองรับ Qi wireless charging (แต่ก็เริ่มรองรับมากขึ้น) ที่อาจจะได้ใช้ประโยชน์ในอนาคต (มั้ง) ก็น่าจะเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ เช่น หูฟัง หรือ ที่โกนหนวดไฟฟ้า แบบที่เขาพูดถึงในตอนเปิดตัวละมั้ง ท้ายที่สุดก็คือเรื่องของการใช้ Huawei P30 Pro เป็น GPS Navigator นำทาง ซึ่งก็ทำงานได้ดี บอกพิกัดค่อนข้างแม่น ไม่มีพลาด หรือหลุดเลย
กล้องถ่ายรูปของ Huawei P30 Pro
ในรายละเอียดหลายๆ อย่าง เรื่องกล้องถ่ายรูปของ Huawei P30 Pro นั้นคล้ายๆ กับของ Huawei P30 ครับ ฉะนั้นไปอ่านพรีวิวที่ผมพูดถึงเรื่องกล้องดิจิทัลโดยละเอียดประมาณนึงก็ได้ครับ แต่ผมจะขอพูดถึงเพิ่มในส่วนของที่ Huawei P30 Pro แตกต่างจาก P30 และเรื่องภาพถ่ายที่ได้มาก็แล้วกัน

อย่างที่เห็น ตัวกล้องของ Huawei P30 Pro มันต่างจาก Huawei P30 ตรงที่มีกล้อง 4 ตัวครับ ซึ่งประกอบไปด้วย
- เลนส์มุมกว้าง 40 ล้านพิกเซล f/1.6 27mm พร้อมระบบกันสั่น
- เลนส์มุมกว้างพิเศษ (Ultrawide) 20 ล้านพิกเซล f/2.2 16mm
- เลนส์เทเลโฟโต้แบบ Periscope เซ็นเซอร์ 8 ล้านพิกเซล f/3.4 125mm ให้ 5x optical zoom พร้อมระบบกันสั่น
- เลนส์ TOF (Time-of-Flight) เอาไว้ให้ข้อมูลระยะความลึกของภาพ
ด้วยเทคโนโลยี Hybrid zoom ของ Huawei มันทำให้เราสามารถไล่ซูมได้ต่อเนื่องตั้งแต่ 0.6x ไปจนถึง 50x (Optical zoom 5x คูณกับ Digital zoom 10x) แบบต่อเนื่อง เหมือนตอน Huawei P30 นั่นแหละ และก็จะมีปัญหาแบบเดียวกันเลยก็คือ ระหว่างเลื่อนซูม มันเกิดการสลับเลนส์ ตำแหน่งภาพจะเคลื่อนไปนิดหน่อยได้ครับ

ในแง่ของคุณภาพที่ได้จากการซูม ก็ดูจากภาพตัวอย่างตั่ง 0.6x ไปจนถึง 30x ได้ตามรูปเลยครับ ผมตั้งข้อสังเกตเช่นเคยว่า การใช้งานแบบ 0.6x/1x/5x นี่ไม่มีปัญหาเลย ภาพได้ออกมาคมชัดดี และถ่ายไม่ยาก แต่พอระยะซูมมันมากขึ้น นอกจากความชัดของภาพจะเริ่มลดลงแล้ว การถ่ายภาพก็จะยากขึ้นด้วย เพราะแค่ขยับนิดเดียวภาพก็เพี้ยนไปไกลเลยครับ คือ เท่าที่ผมลองถ่ายมา ระบบกันสั่นของเลนส์เทเลโฟโต้ทำงานได้ดีพอดูเลยแหละ สังเกตจากการที่ภาพที่ถ่ายออกมา ไม่ได้สั่นไหวขนาดเบลอสนิทไปเลย แต่ถ้าไม่มีขาตั้งกล้อง จะเล็งโฟกัสจุดที่ต้องการยากพอดูเลยครับ

ที่ Huawei P30 Pro นี่สามารถซูมได้ระดับ Optical zoom 5x ได้ก็เพราะแนวทางการวางตำแหน่งกล้องแบบใหม่ ที่อาศัยแนวคิดของกล้อง Periscope โดยการเอากระจกเล็กๆ มาสะท้อนภาพและแสงเข้าไปด้านข้าง ทำให้สามารถวางชิ้นเลนส์ซูมได้ดีพอที่จะซูม 5x ครับ แต่จริงๆ แล้วแนวคิดแบบนี้ OPPO เปิดตัวไปก่อนหน้าแล้ว และสามารถทำได้ถึง Optical zoom 10x เลย โดยส่วนตัวผม ก็เลยอยากรอดู OPPO ก่อนว่าจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ใช้เทคโนโลยีนี้เมื่อไหร่ และเมื่อได้ซูม 10x แล้ว มันจะเจ๋งกว่า Huawei P30 Pro แค่ไหน
แต่สำหรับ Huawei P30 Pro แล้ว ถ้าพูดถึงคุณภาพของภาพที่ได้ ก็ต้องบอกว่า นอกจากบางกรณี เช่น น้องๆ ติ่งศิลปินที่แค่ถ่ายได้ภาพศิลปินที่ตนเองชื่นชอบ เบลอนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหา แล้วละก็ ภาพที่ได้จากการซูมแบบ Hybrid เกิน 10x นี่คือคุณภาพไม่ดีพอที่จะเอาไปใช้งานครับ
ในส่วนของโหมด Super macro นั้น ก็อย่างที่พูดถึงไปตอนรีวิว Huawei P30 แล้วว่าเป็นการใช้เลนส์มุมกว้างถ่าย แต่จากที่ลองใช้ Huawei P30 Pro มีข้อแตกต่างอีกหน่อย คือ ถ่ายภาพระยะประชิดได้สบายๆ มากจริงๆ ถ่ายอุ้งมือนี่เห็นรูขุมขนกันเลยทีเดียว จะถ่ายพวกเหรียญหรือพระเครื่องนี่ก็น่าจะรุ่งน่าดู ขนาดถ่ายแบงก์พันก็เห็นรายละเอียดชนิดที่มองด้วยตาปกติก็ดูยากมากครับ เห็นเลข 1000 ตัวเล็กๆ นั่นไหมล่ะ

ภาพนึงที่ยังไงๆ ผมก็ต้องพยายามหาทางถ่ายให้ได้ก็คือ ภาพของดวงดาวที่เต็มท้องฟ้า ซึ่งทาง Huawei ใช้เป็นภาพประกอบการเชิญชวนสื่อให้มาทำข่าวการเปิดตัว Huawei P30 series ครับ คือ พอเห็นเขาอวดความสามารถมาแบบนี้ ไอ้เราก็ยอมไม่ได้ มันต้องลองทดสอบด้วยตัวเองครับ เลยขับรถไปต่างจังหวัดซะเลยครับ และก็ได้ภาพมาอวดตามนี้เลย
การจะถ่ายภาพนี้ได้ ก็ใช้โหมด Pro กับขาตั้งกล้องครับ ยึดตัว Huawei P30 Pro เข้ากับขาตั้งกล้องก่อน หาจังหวะตอนคืนเดือนมืดไปถ่ายภาพที่ต่างจังหวัด (ภายในเมืองแสงสว่างมันเยอะ ถ่ายให้ติดดาวยากมากครับ) แล้วตั้ง ISO ไว้ซัก 640 กับลากชัตเตอร์ยาวซัก 30 วินาที กับ White balance ซัก 3600K (เลือกเป็นโหมด Incandescent ที่เป็นรูปหลอดไฟแบบขั้วเกลียวอะ) ก็จะสามารถถ่ายได้ประมาณนี้ครับ ส่วนใครอยากจะถ่ายภาพทางช้างเผือก ก็สามารถทำได้เช่นกันนะครับ แต่รู้สึกว่าต้องหันให้ถูกทิศทาง และต้องเวลาที่เหมาะสมด้วย ผมยังไม่มีความรู้และข้อมูลด้านนี้เท่าไหร่ ก็เลยเอาแค่ถ่ายภาพดวงดาวเต็มฟ้าก็พอก่อน แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า Huawei P30 Pro ถ่ายได้ตามที่โฆษณานั่นแหละ
และอย่างที่บอกไปตอนรีวิว Huawei P30 ว่ามันมีโหมดถ่ายภาพที่รองรับการถ่ายภาพหลายๆ แบบ อันนึงที่น่าสนใจคือ Light painting ซึ่งเขาทำมาสำหรับถ่ายพวกภาพรถยนต์เวลากลางคืนให้เห็นแสงไฟจากไฟหน้าและไฟท้ายรถเป็นลำแสงงี้ หรือการถ่ายภาพน้ำตกให้สายน้ำมันไหลนวลยังงี้ ดีงามมาก และโหมดนี้มีการปรับชดเชยแสงไว้เหมาะสมมากครับ ให้ภาพถ่ายที่ออกมาดูดีทีเดียว แต่ว่าต้องใช้คู่กับขาตั้งกล้องด้วยนะครับ เพราะลักษณะการทำงาน มันเหมาะกับการถ่ายภาพซ้ำๆ รัวๆ แล้วเอามาประมวลผลรวมให้เป็นภาพเดียว ดังนั้นแค่กล้องขยับนิดเดียวก็เบลอเละเทะแล้ว
สำหรับภาพถ่ายอื่นๆ ก็ขอเก็บเอามาให้ดูตามนี้นะครับ

บทสรุปการรีวิว Huawei P30 Pro
Huawei P30 Pro เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงที่มีความครบเครื่องดีทีเดียวครับ ลูกเล่นถือว่าแพรวพราวมาก สนนราคาค่าตัว 31,990 บาท อาจจะดูแพงหรือไม่แพง ก็อยู่ที่ความรู้สีกของแต่ละคนจริงๆ ครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าเป็นงานหนักสำหรับ Samsung แล้ว เมื่อ S10/S10+ มาเจอกับ Huawei ตั้งราคาแบบนี้ ยิ่งมาเจอโปรลดราคาร่วมกับค่ายมือถืออีก จากที่ผมได้ลองเล่นมาสัปดาห์นึง นอกเหนือไปจากที่ผมไม่ชอบเรื่องขอบจอโค้งกับด้านหลังที่เป็นกระจก เลอะคราบมันจากมือง่ายๆ อย่างอื่นผมก็ไม่มีอะไรจะตินะ สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอก็ทำงานได้ดีทีเดียว และเรื่องคุณภาพของภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล ก็สามารถทำได้อย่างที่โฆษณาเอาไว้ครับ Leica quad camera นี่พร้อมสำหรับการถ่ายภาพในทุกสถานการณ์จริงๆ