เมื่อไม่นานมานี้ Fitbit ได้เปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ออกมา 4 รุ่นเลยทีเดียว และหนึ่งในนั้นก็คือ Fitbit Versa Lite Edition ที่เป็นภาคต่อของรุ่น Versa แต่ทำออกมาโดยตัดฟีเจอร์บางส่วนออกไป แล้วทำให้ราคาลงมาอยู่ในระดับที่สามารถหาซื้อเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ซึ่งทาง Fitbit Thailand เขาส่งรุ่น Versa Lite Edition สีน้ำเงินมาให้ผมลองใช้ และนี่คือการรีวิวประสบการณ์ในการใช้งานให้อ่านกันครับ
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
บล็อกตอนนี้ได้รับการเอื้อเฟื้อ Fitbit Versa Lite Edition มาให้รีวิวครับ แต่ความคิดเห็นในบล็อกนี้ทั้งหมด เป็นความคิดเห็นจากผม และแฟนของผม (ในฐานะผู้ที่รีวิวร่วม และให้ประสบการณ์และมุมมองในฐานะผู้ใช้งานที่เป็นผู้หญิง) ตัวแบรนด์ไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ในเนื้อหานี้ครับ
พูดถึงดีไซน์ของ Versa Lite Edition กันก่อน
ถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว ตัว Versa Lite Edition กับ Versa ดั้งเดิม กล่องไม่ได้แตกต่างกันมากมายนึก กล่องของ Versa Lite Edition มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย และด้านในกล่องของรุ่น Versa จะมีฝาปิด ดูไฮโซขึ้นมานิดหน่อย (ฮา) แต่ภายในนั้นไม่แตกต่างกันมากครับ ด้านในจะมีตัวสมาร์ทวอทช์ ที่ใส่สายแบบ S/P (สายสั้น) มาให้เรียบร้อยแล้ว และในกล่องก็มีสายแบบ L/G (สายยาว) มาให้อีกเส้น เผื่อใครที่ข้อมือใหญ่ๆ ก็จะได้เปลี่ยนได้ แล้วก็มีแท่นชาร์จมาให้ด้วย

ดีไซน์ของ Versa Lite Edition นี่ ก็ต้องบอกเลยว่าไม่แตกต่างไปจาก Versa รุ่นดั้งเดิมเลยครับ ทั้งขนาด และสเปกส่วนใหญ่ก็ใกล้เคียงกัน ที่ชาร์จ และสายนาฬิกา นี่คือใช้แทนกันได้เลยครับ แต่ด้วยความที่ตัวเรือนของ Versa Lite Edition มันมีสีสันที่ถูกกำหนดมาอย่างชัดเจน การจะหาสายสีอื่นมาใช้คู่กับมันนี่ไม่ง่ายเลยครับ และด้วยความที่ดีไซน์ยังเหมือนเดิม เลยคิดว่าบอกได้เลย จากประสบการณ์ในการใช้งาน Fitbit Versa ว่า อย่าทำตกครับ ตกหน้าคว่ำ มีจอแตกได้ง่ายๆ
แต่ในภาพรวม ก็ต้องขอบอกว่า Fitbit Versa Lite Edition นี่สวยดีครับ โดยเฉพาะสีน้ำเงินที่ผมได้มารีวิว สวยมาก และหน้าปัดนาฬิกาที่เป็น Default มาตั้งแต่แรกนี่ ก็ช่างเข้ากับดีไซน์เสียเหลือเกิน ให้ตายสิ
Fitbit มีความโดดเด่นในด้านการเป็น Activity tracker ครับ แม้ว่านี่จะเป็นรุ่นราคาประหยัด แต่ทาง Fitbit ก็ยังคงให้ฟีเจอร์ขั้นพื้นฐานสำหรับการเป็น Activity tracker มาไว้ค่อนข้างครบเครื่อง หน้าจอแสดงผลขนาด 1.34 นิ้ว ความละเอียด 300×300 พิกเซล มีความละเอียดมากพอสำหรับการใช้งานในฐานะนาฬิกา หน้าจอเป็นแบบสัมผัส ใช้สั่งงานได้ง่ายๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่คุ้นเคยกับการใช้งานสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว และใช้งานควบคู่กับปุ่มทางซ้ายมือ ซึ่งทำสองหน้าที่ คือ กดทีเดียวเป็น Home และหากกดค้างไว้ก็จะเป็นการเข้าสู่ Quick settings

ส่วนด้านหลังของตัวนาฬิกา เป็นขั้วสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และเซ็นเซอร์สำหรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และตรงปลายของสายนาฬิกา จะเห็นสลักสีเงินเล็กๆ อยู่ เอาไว้สำหรับปลดสายนาฬิกาเพื่อเปลี่ยนครับ

ประสบการณ์ในการใช้งาน … รุ่นนี้มันแตกต่างจาก Versa ดั้งเดิมยังไง?
ในแง่ของการเป็นนาฬิกา Fitbit Versa Lite Edition คือสวยครับ ผู้ชายใส่ได้ ผู้หญิงใส่ดี สีสันที่มีให้เลือกทั้งสี่สี ดูวัยรุ่นดีทีเดียว และสีอย่างสีขาวหรือสีน้ำเงิน ก็ใส่ได้ทั้งชายหญิง ไม่น่าจะติดอะไรเลย (แฟนผมยังชอบเลย สีน้ำเงินเนี่ย) ตัวเรือนเป็นโลหะ ส่วนสายเป็นซิลิโคน แต่ทำสีออกมาได้ค่อนข้างเข้ากันทีเดียว แต่มันทำให้ผมพาลนึกไปว่า น่าจะมีสายสแตนเลสสีเดียวกับตัวเรือนขายเป็นอุปกรณ์เสริมด้วยยิ่งน่าจะดี

การตั้งค่าใดๆ ก็ตาม ต้องพึ่งพาแอป Fitbit บนสมาร์ทโฟนเป็นหลักครับ แต่ผมชอบตรงที่ Watch face หรือ หน้าปัดนาฬิกา ที่มีให้เลือกมันมีหลายอันที่ดีไซน์สวย แต่ต้องขอคอมเม้นต์กับทาง Fitbit ว่า หากต้องการตีตลาดประเทศไทย สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ การรองรับภาษาไทย เพราะค่ายอื่นๆ น่ะ เขาทำรองรับกันแล้ว และถ้ามันไม่รองรับภาษาไทย พวกฟีเจอร์อย่างการแจ้งเตือนบนตัวสมาร์ทวอทช์จะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่

หน้าปัดนาฬิกาที่ผมชอบ คือ Bitmoji ที่ต้องเชื่อมบัญชีกับ Snapchat และ Bitmoji ให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะใช้งานได้ แต่ความน่ารักของมันคือ มันจะให้เราสร้างตัวอวาตารของเราบน Bitmoji ซึ่งถ้าสร้างจากรูปถ่ายของเรา เราก็จะได้ตัวการ์ตูนที่ออกแบบมาตามหน้าตาของเราเลย แล้ว Fitbit จะใช้ตัวการ์ตูนนี้ในการกระตุ้นการทำกิจกรรมออกกำลังกายของเราครับ (ต้องไปดาวน์โหลดหน้าปัดนาฬิกามา แล้วทำการเชื่อมกับ Snapchat และ Bitmoji ด้วย) ข้อจำกัดของฟีเจอร์นี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องมีบัญชี Snapchat นี่แหละ ซึ่งจากข้อมูลของ Statista เมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 2561 แล้ว มีผู้ใช้งาน Snapchat ในไทยราวๆ 20% ของจำนวนประชากรเท่านั้นเอง
ความแตกต่างของ Fitbit Versa Lite Edition กับ Versa รุ่นดั้งเดิม หลักๆ ก็มีดังนี้ครับ
- ปุ่มกดบนตัวเรือน มีแค่ปุ่ม Home/Quick settings ปุ่มเดียว แต่ Versa จะมีปุ่มด้านขวาอีกสองปุ่ม เหมือนรุ่น Ionic
- ไม่มีเนื้อที่เอาไว้สำหรับเก็บข้อมูลเพลง ซึ่ง Versa รุ่นดั้งเดิมมีให้ราวๆ 4GB เอาไว้เก็บเพลงไว้ฟังแบบ Offline ได้ โดยผ่านบริการของ Deezer หรือ Pandora
- ไม่มี Guided workout, ไม่รองรับการนับจำนวนรอบที่ว่ายน้ำ และไม่มี Altimeter ทำให้นับจำนวนชั้นที่เราเดินขึ้นไม่ได้
- ไม่มี WiFi ซึ่งสำหรับ Versa รุ่นดั้งเดิมแล้ว มันเป็นช่องทางหลักสำหรับการอัพโหลดไฟล์เพลงจากสมาร์ทโฟนมาที่ Versa ครับ
- ไม่มี NFC เลยไม่รองรับ Fitbit Pay แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะฟีเจอร์นี้ไม่รองรับในประเทศไทยอยู่แล้ว
แต่ทั้งรุ่น Versa และ Versa Lite Edition ต่างก็ไม่มี GPS ด้วยกันทั้งคู่นะครับ ถ้าอยากจะใช้ GPS ก็ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนครับ (ใครอยากได้ฟังก์ชัน GPS ให้ไปใช้ Ionic เอา)

แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็มีฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับการเป็น Activity tracker อยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการนับจำนวนก้าว รองรับการจับกิจกรรมหลักๆ อย่าง วิ่ง/ขี่จักรยาน/วิ่งบนลู่/เล่นเวท/เดิน อะไรพวกนี้ และก็ยังสามารถวัดการหลับของเราได้เหมือนรุ่น Versa ฉะนั้น สำหรับคนที่ต้องการ Fitness tracker เอาไว้วัดกิจกรรมพื้นฐานแบบที่ว่านี่ และเวลาที่วิ่งออกกำลังกาย ก็ไม่ซีเรียสว่าตัวสมาร์ทวอทช์จะต้องมี GPS ด้วย เพราะสะดวกใจที่จะพกสมาร์ทโฟนไปตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับฟีเจอร์ที่ขาดหายไปมากนัก

ฟีเจอร์ที่ผมชอบเกี่ยวกับ Fitbit (ไม่ใช่แค่รุ่น Versa Lite Edition นี้) คือ ความสามารถในการตรวจจับกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำ ซึ่งแต่ละรุ่นก็แตกต่างไป แต่ส่วนใหญ่สามารถตรวจจับการนอนได้ และค่อนข้างแม่นยำทีเดียว ใครที่เผลอหลับบ่อยๆ แล้วอยากรู้ว่าเผลอหลับไปตอนกี่โมงนี่ เจ้านี่บอกได้เลยครับ … แต่ประโยชน์สำคัญอีกอย่างก็คือ การเปรียบเทียบพฤติกรรมการนอนของเรา กับค่าเฉลี่ยของคนอื่นๆ ที่เพศเดียวกับเราอายุใกล้เคียงกับเรา มันจะช่วยบอกเราได้ว่า เรามีพฤติกรรมการนอนที่ผิดปกติหรือเปล่า
ในแง่ฟีเจอร์อื่นๆ แบบที่สมาร์ทวอทช์พึงทำได้ เช่น การแจ้งเตือนต่างๆ (มีคนโทรมา มีข้อความเข้า การแจ้งเตือนจากแอป) ก็สามารถไปเซ็ตตามที่ต้องการได้จากแอป Fitbit บนสมาร์ทโฟน แต่ว่าเนื่องจากมันยังไม่รองรับภาษาไทย ก็เลยไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่ ตรงนี้ก็อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้อะครับ อยากให้ทาง Fitbit พิจารณารองรับภาษาไทยซะทีจริงๆ

ในส่วนของการติดตั้งแอปเพิ่มเติม ก็สามารถทำได้ครับ แต่ผมตอบยากเหมือนกันว่าจะติดตั้งแอปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะไม่มีตัวเลขข้อมูลอะไรบอกเลย แอปก็มีตัวเลือกให้แค่พอประมาณ หลายๆ แอปนี่ผมก็นึกไม่ออกว่าประโยชน์ของมันคืออะไรนะ (ฮา) แต่ก็มีหลายๆ แอปเหมือนกันที่เอามาใช้ประโยชน์ได้นะ เช่น Air Quality ที่แสดงข้อมูลคุณภาพอากาศจากสถานีวัดที่ใกล้ที่สุดที่เราอยู่ หรือ อย่างที่บ้านผมใช้หลอดไฟอัจฉริยะ Philips Hue ก็มีแอปให้สั่งงานหลอดไฟได้จากเจ้านี่เลย เป็นต้น
บทสรุปการรีวิว Fitbit Versa Lite Edition
จากที่ผมทดลองใส่มาเกือบๆ 1 สัปดาห์ ทุกคนที่เห็นผมใส่ Fitbit Versa Lite Edition สีน้ำเงินนี่บอกว่านาฬิกาสีสวยมาก และหน้าปัดนาฬิกาแบบ Bitmoji นี่คือ น่ารัก ดีงามมาก (ตัวอวาตารดูดีจนผมรู้สึกว่า ผมใช้อวาตารเก่ามาเป็นสิบปีแล้ว น่าจะถึงเวลาเปลี่ยน … ฮา) ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องการแจ้งเตือนมากนัก แต่อยากได้ Activity tracker ที่ช่วยจับกิจกรรมต่างๆ ประจำวันของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินออกกำลังกายและการนอนหลับ แต่ก็อยากให้เป็นสมาร์ทวอทช์ที่ใส่แล้วดูสวย ดูดี 6,690 บาท กับ Fitbit Versa Lite Edition นี่ก็ไม่เลวครับ
ใครที่สนใจอยากซื้อ วาร์ปไปที่ Lazada ได้ที่ปุ่มด้านล่างนี่โลด