ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านหนัง และไม่ได้ดูหนังเยอะเท่าไหร่ เลยทำให้ตอนแรกคิดว่าหนังเรื่อง Searching จะเป็นหนังเรื่องแรกที่ใช้แนวการถ่ายทำในมุมมองของพวกหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ต่างๆ ซะอีก แต่ปรากฏว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่อง Unfriended (2014) น่าจะทำมาก่อนครับ (แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแรกที่ทำแบบนี้หรือเปล่า) และ Unfriended: Dark Web (2018) นี่ก็เป็นภาคต่อครับ ผมยังไม่ได้ดูภาคแรก แต่เขาว่าภาคนี้เปลี่ยนเนื้อหาของหนังไป มันแค่เป็นเหมือนเฟรนไชส์ ที่เป็นแนวหนังเดียวกันเท่านั้นเอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สองเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ถามว่าทำไมถึงเลือกดูเรื่องนี้? ก็คงเพราะมันมีคนบอกว่าผู้สร้างหนังเรื่องนี้คือผู้สร้างเดียวกับ Happy Death Day ละมั้ง คือ ชอบเรื่องนั้นอ่ะ ก็เลยดูเรื่องนี้ด้วยซะเลย แล้วก็ลองดูตัวอย่างหนังด้านล่างนี่แล้ว ก็รู้สึกว่าเออ มันน่าสนใจดีนะ
เรื่องย่อๆ ก็คือพ่อหนุ่ม Mathias ซี่งมีแฟนเป็นคนหูหนวกชื่อ Amaya มักจะแชทกลุ่มและเล่นเกมกับเพื่อนๆ เป็นประจำ และในคืนที่พวกเขาเล่นเกมกัน (ในหนังเรียกว่า Game night) ตา Mathias นี่ก็ไปได้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มา เขาบอกว่าซื้อมาถูกๆ จาก Craiglist แต่เขาพบว่าตัวเครื่องมีปัญหาแฮงก์บ่อยๆ ซึ่งภายหลังจากที่เพื่อนขา Geek อีกคนชื่อ Damon ช่วยดูอาการให้ ก็พบว่าเป็นเพราะฮาร์ดดิสก์มันใกล้เต็ม และมันใกล้เต็มเพราะมีไฟล์ซ่อนเอาไว้ ซึ่งพอเปิดๆ ไปดู ปรากฏว่ามันเป็นไฟล์ที่บันทึกการลักพาตัวและฆาตกรรมเอาไว้
Mathias เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าไปพัวพันกับอะไรบางอย่างที่ดำมืด และเพื่อนๆ ของเขาก็ถูกลากเข้ามาพัวพันโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกคนลึกลับที่เหมือนจะเป็นแฮกเกอร์ ได้ยินและได้เห็นทุกๆ อย่างที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น … พวกเขาจะทำยังไง และจะเอาตัวรอดจากคนลึกลับพวกนี้ได้หรือไม่?

เป็นหนังที่ไม่ต้องคาดหวังเรื่องสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อะไรมากครับ คล้ายๆ กับเรื่อง Searching ที่ผมเคยรีวิวไปก่อนหน้า แต่ว่าเรื่องนี้เน้นการนำเสนอผ่านหน้าจอโปรแกรม Skype กับ Facebook เป็นหลักเลยมากกว่า (สงสัยได้ Microsoft และ Facebook สนับสนุนการถ่ายทำ … ฮา) และมีเรื่องของการ “แฮก” เยอะมาก หลายๆ ตัวเป็นคำสั่งแบบ Command line ที่ซับซ้อนมากๆ แต่ก็มีความพยายามในการแปลงคำสั่งพวกนี้ ให้กลายเป็นคำสั่งที่คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก ข้อเสียคือ การดำเนินเรื่องของตัวหนัง มีทั้งผ่านบทพูด และการพิมพ์บนหน้าจอ ซึ่งค่อนข้างเยอะซะด้วย และเป็นภาษาอังกฤษซะหมด (แหงล่ะ) ซึ่งแม้จะดูแบบพากย์ไทยแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะแปลข้อความทั้งหมดให้มาเป็นบทพูดนะ
อ่านรีวิวแล้ว ก็มีคนบ่นเรื่องการแสดงของตัวละครบางตัวที่ยังไม่เข้าขั้น ก็ถ้าเป็นระดับนักวิจารณ์หนัง ก็น่าจะวิเคราะห์ลึกไปได้ถึงขนาดนั้นล่ะครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีใครแสดงไม่ดีอะไรยังไงเลยล่ะนะ (ผมไม่ใช่นักวิจารณ์หนังนิ) และด้วยความที่นี่คือหนัง ก็จะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ดูเวอร์วังเกินจริง เช่น การแฮก Skype หรือ Facebook แล้วสามารถส่งข้อความแบบที่ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นแบบที่ส่งมาจากแฮกเกอร์ และข้อความก็จะลบออกเองได้อีกต่างหาก อะไรแบบนี้
ในภาพรวม ผมมองว่า Unfriended: Dark Web (2018) นี่เป็นหนังแนวสยองขวัญ ลึกลับ ที่ดูได้เพลินๆ ดีครับ เพียงแต่ชื่อมันไม่น่าจะเรียกว่า Unfriended เลย เพราะว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยกับการ Unfriend เลยอะ