ผมไม่ใช่ Vlogger ไม่ใช่คนที่นิยมถ่ายวิดีโอรีวิว แต่ในฐานะคนที่ชอบไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ผมเป็นคนที่ชอบเก็บภาพความประทับใจจากสถานที่ที่ผมไปมาครับ จะเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอก็ตามแต่ความเหมาะสม และผมมองว่า กล้อง 360 องศา คืออุปกรณ์ที่เหมาะกับงานนี้มากที่สุด และในปัจจุบัน ตัวที่ราคาเอื้อมได้ และสเปกดีเยี่ยม ก็น่าจะเป็น GoPro Fusion นี่แหละครับ ซึ่งทาง PR เขาก็ส่งมาให้ผมยืมเล่นอยู่พักใหญ่ๆ เลยครับ
ที่ผมได้มาเป็นเซ็ตใหญ่จริงจังอลังการครับ มาเป็นกล่อง แถมยังไม่เคยผ่านมือใครมาก่อนด้วย เรียกว่าเปิดซิงกันเลยทีเดียว สิ่งที่มีมาให้ในกล่องคือ ตัวกล้อง GoPro Fusion, ซองเก็บ, สายชาร์จแบบ USB Type-C, GoPro Fusion Grip, ขายึดแบบกลมและสี่เหลี่ยม, สลักล็อก GoPro Fusion กับอุปกรณ์เสริมต่างๆ แล้วก็แบตเตอรี่สำหรับ GoPro Fusion

ตอนเปิดตัวนี่ราคา 26,900 บาท แต่ตอนนี้ขายกันบนออนไลน์ ประกันศูนย์ เห็นอยู่ที่ 22,000 บาท เรียกว่าราคาลงมาอยู่ในระดับเอื้อมได้แล้ว ถ้าต้องการซื้อนะครับ ซื้อมาแล้วเซ็ตนี้ บอกได้เลยว่าพร้อมใช้งานจริงๆ

มาดูดีไซน์ตัวกล้องก่อน GoPro Fusion นี่หนักใช่ย่อยอยู่ครับ ถือในมือนี่รู้สึกได้ วัสดุดูแน่นบึกบึนดี ตามประสาของ GoPro แต่งวดนี้มีเลนส์กล้องแบบ Fisheye สองตัวที่สามารถถ่ายภาพเอามาต่อกันเป็นภาพ 360 องศาความละเอียด 18 ล้านพิกเซลได้



ด้านบนมีรูไมโครโฟน 3 รู เอาไว้บันทึกเสียงแบบรอบทิศทาง ในขณะที่ด้านนึงมีจอ LCD และไฟ LED เอาไว้แสดงสถานะ กับปุ่มชัตเตอร์ ส่วนอีกด้านเป็นรูไมโครโฟนเอาไว้ใช้ตอนสั่งงานด้วยเสียง มีลำโพง และไฟ LED แสดงสถานะ


ข้างนึงจะมีปุ่ม Power ที่เอาไว้เป็นปุ่มเปลี่ยนโหมดด้วยในตัว กับสวิตช์ล็อกที่เปิดออกมาแล้วจะเป็นพอร์ต USB Type-C เอาไว้ชาร์จแบตเตอรี่ ส่วนอีกข้างจะมีปุ่มสวิตช์ล็อกเอาไว้เปิดฝาปิดที่ใส่แบตเตอรี่กับ MicroSD card 2 สล็อต และด้านล่างที่เป็นขายึดกับอุปกรณ์เสริมของ GoPro ครับ ซึ่งต้องใช้งานร่วมกับตัวน็อตยึดที่แถมมาให้ด้วย
พอเอามาต่อกับ GoPro Fusion Grip แล้วมันก็จะได้เป็นแบบนี้ครับ เจ้านี่จริงๆ แล้วก็เหมือนกับ GoPro Shorty เลย แต่ว่ามีขนาดยาวกว่าครับ

หน้าที่ของ GoPro Fusion Grip มีด้วยกันสองส่วนครับ ปกติแล้วมันจะเป็นไม้สั้นๆ แต่สามารถจับยืดให้ยาวขึ้นมาได้ กลายเป็นไม้เซลฟี่ ตอนหดอยู่จะความยาว 23 ซม. แต่พอยืดยาวสุดจะยาว 56 ซม. เรียกว่ายาวเพียงพอต่อการใช้งานเลยครับ และยาวเป็นสองเท่าของ GoPro Shorty

อีกหน้าที่นึงของ GoPro Fusion Grip ซึ่งทำได้เหมือนกับ Shorty ก็คือ การเป็น Tripod ครับ กางออกมาเป็นสามขาได้แบบนี้เลย

ผมลองเอามาใช้งานดู ในหลายๆ สถานการณ์ เช่น วางบนพื้นที่ขรุขระ หรือแม้กระทั่งวางบนพื้นที่ที่ลมแรงประมาณนึง ลองเอาไปวางไว้บนเนินสูงประมาณนึง ลมพัดแรงและเย็นเลย ที่โครงการชั่งหัวมัน จ.เพชรบุรี บนตำแหน่งหมิ่นเหม่สุดๆ (ดูในรูปเอา) ก็พบว่ามันยังทรงตัวได้ดีทีเดียว (แต่คนวางอะ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ … ฮา)


ส่วนตัวซองเก็บ GoPro Fusion ที่แถมมาให้ เป็นแบบ Soft case ที่ออกแบบมาดีครับ หลักๆ คือเอาไว้ป้องกันเลนส์ทั้งสองข้ามเวลาเก็บลงไปในกระเป๋านั่นแหละ แต่มันมีการออกแบบเผื่อให้ส่วนที่เป็นตัวยึดกับอุปกรณ์เสริมมันยื่นออกมาได้ ทำให้เราสามารถสวมมันครอบกับ GoPro Fusion ได้ แม้จะต่อกับ GoPro Fusion Grip อยู่ก็ตาม … ดีงาม

การใช้งาน GoPro Fusion ต้องใส่ MicroSD card 2 ตัวพร้อมๆ กันนะครับ ตรงนี้เข้าใจว่าเพราะมันถ่ายวิดีโอได้สูงสุดระดับ 5.2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที มันไม่ได้แค่ต้องการอัตราการเขียนข้อมูลที่รวดเร็ว แต่มันต้องการเนื้อที่ความจุที่มากด้วยครับ คิดว่า MicroSD card ที่น่าจะเหมาะสุดสำหรับเจ้านี่คือ SanDisk Extreme อะ แต่ก็ไม่จำเป็นถึงขนาดนั้นหรอกนะ ตัวที่ผมได้มาลอง เขามี SanDisk Extreme 32GB มาให้ผมตัวเดียว อีกตัวผมเลยใส่ Strontium Nitro 433X เข้าไปแทนครับ (ที่บ้านไม่มี SanDisk Extreme) มันก็ใช้งานได้ไม่มีปัญหาอะไร

ด้วยความสงสัย ผมอยากรู้ว่าแล้ว GoPro Fusion มันเก็บภาพกันยังไง ด้วย MicroSD card สองอัน ผลัดกันเขียนข้อมูลลงการ์ดแต่ละอันแบบ RAID0 เพื่อให้ได้แบนด์วิธสูงขึ้น อะไรแบบนี้เหรอ? ผมเลยเอาการ์ดอันนึงมาเสียบเพื่อดูข้อมูล ปรากฏว่า มันเก็บภาพจากกล้องตัวนึงเอาไว้ในการ์ดอันนึงครับ ส่วนการ์ดอีกอันก็ค่อยเก็บภาพจากกล้องอีกตัว วิดีโอก็ทำแบบนี้เช่นกัน ฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ขอแนะนำให้ใส่ MicroSD card ทั้งสองอันเป็นความจุเท่าๆ กันนะครับ
แน่นอนว่าถ่ายวิดีโอแบบ 5.2K 30 เฟรมต่อวินาที ไฟล์ต้องมีขนาดใหญ่มากมายครับ ถ่ายไป 5 นาทีกว่า แค่ไฟล์จากเลนส์ข้างเดียวก็ซัดไป 2GB แล้วครับ

ผมลองถ่ายภาพไปเยอะมาก แต่น่าเสียดายว่าตั้งกะ WordPress อัพเดตมาเป็น Gutenberg แล้ว มันทำให้อะไรหลายๆ อย่างมีข้อจำกัดไปเยอะ อย่างเรื่องการแนบไฟล์รูปหรือวิดีโอที่เป็น 360 องศาเนี่ย ตอนนี้มีปลั๊กอินเดียวที่ทำได้ คือ Algori 360 ครับ แต่มันยังมีข้อจำกัดอยู่คือ โพสต์นึงใส่ภาพได้ภาพเดียว วิดีโอก็ได้วิดีโอเดียว แต่ก็ต้องทำใจ เพราะมันปลั๊กอินฟรีอ่ะ และไม่มีปลั๊กอินอื่นใดให้ใช้ ณ ตอนนี้
แต่ลองดูรูปตัวอย่างจากด้านบนก่อนได้ครับ จะเห็นว่าภาพมีความชัดประมาณนึงทีเดียวครับ อันนี้เพราะอานิสงส์จากการที่มันถ่ายภาพนิ่งได้ที่ความละเอียด 18 ล้านพิกเซล ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับประมาณ 6 ล้านพิกเซล เมื่อดูที่ ณ มุมมองใดมุมมองนึง แต่ที่ความละเอียดนี้ก็ยังเทียบไม่ได้กับพวกกล้องดิจิทัลมือถือนะครับ แต่จุดขายของมันก็อย่างที่บอก แชะทีเดียวได้ภาพครบรอบวง
ในแง่ของความสว่างของภาพที่ได้ ผมลองถ่ายภาพตอนกลางคืนเอาไว้ด้วย ภาพออกมาค่อนข้างสว่างดี แม้จะมีแสงน้อย นอกจากนี้ โหมดถ่ายภาพ มันมี Night mode ด้วย มันจะเปิดหน้ากล้องค้างเอาไว้ 30 วินาที เรียกว่าได้ภาพออกมาสว่างมากขึ้นเลยแหละ ใครพกเอาไปขึ้นเขา เผื่อไปถ่ายภาพทางช้างเผือก ผมว่าได้นะ แต่ผมไม่นิยมถ่ายภาพตอนกลางคืน ผมเลยได้แค่ลองแล้วเอามาเล่าสู่กันอ่าน แต่ด้วยข้อจำกัดทั้งการที่แนบภาพ 360 องศาบน Gutenberg ได้แค่ภาพเดียว กับภาพที่ผมถ่ายมันไม่ได้สวยอะไร (ถ่ายหน้าบ้านที่แถวแก่งกระจาน ตอนกลางคืนซึ่งมืดมาก มีแค่ไฟจากบ้าน) ก็เลยไม่เอามาให้ดูดีกว่า ขออภัยครับ

การดึงไฟล์ออกมาจาก GoPro Fusion นี่โหดมากครับ ภาพนิ่งน่ะไม่เท่าไหร่ แต่วิดีโอนี่โหดนรกมาก ผมลองดึงวิดีโอความยาวเกือบๆ 6 นาทีออกมา พวกเล่นบอกว่าใช้เวลาเป็นชั่วโมง รอวนไปค่ะ
ถ้าไม่อยากรอถ่ายโอนวิดีโอ อีกวิธีคือ ถอด MicroSD card แล้วก็อปปี้ไฟล์มาเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ แต่ต้องก็อปปี้มาทั้งสองการ์ด แยกเป็น 100GBACK และ 100GFRNT โดยไม่ลบไฟล์ใดๆ ในนั้นออกเลย จากนั้นก็ Import ด้วยแอป Fusion Studio (มีทั้งบน macOS และ Windows) แต่บอกก่อนว่า การ Render ไฟล์วิดีโอ 5.2K แค่ 3 นาทีเศษ นี่กินแรง MacBook Pro โหดมากครับ ระหว่าง Render นี่คือทำอะไรไม่ได้เลยครับ พูดง่ายๆ เร็วตอนโหลดข้อมูล แต่มาช้าตอนเรนเดอร์วิดีโอ (ฮา)
สรุปแล้ว สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ผมว่า หา iPhone หรือ iPad รุ่นใหม่ๆ มาใช้ตัดต่อวิดีโอง่ายๆ หรือ แชร์วิดีโอขึ้นไปบนโซเชียลมีเดียวต่างๆ น่าจะดีกว่าใช้คอมพิวเตอร์เยอะ

ผมสังเกตว่า ที่ GoPro Fusion ใช้เวลาในการประมวลผลเยอะ กว่าจะแชร์วิดีโอไปบนโซเชียลมีเดียได้แต่ละที วิดีโอสั้นๆ ระดับ 2-3 นาทีก็ต้องใช้เวลา 10-12 นาทีในการประมวลผล ก็เป็นเพราะว่า มันเก็บข้อมูลแบบแยกเลนส์เอาไว้ครับ แล้วใช้ซอฟต์แวร์ทำประมวลผลแบบ Real-time ให้ แต่เวลาจะแชร์เป็นวิดีโอขึ้นไป มันต้องมา Stitch หรือ เย็บภาพให้เป็นเนื้อเดียวกันก่อน ค่อยอัพโหลดขึ้นไปได้ ซึ่งผิดกับกล้อง 360 องศาตัวอื่นๆ ที่ผมเคยลองก่อนหน้า ทั้ง Ricoh Theta S, LG 360 Cam หรือ Insta360 One ที่มันเย็บมาเรียบร้อยแล้วจากกล้องเลย
วิดีโอด้านบนที่เห็น เป็นวิดีโอแบบ 360 องศา ความละเอียด 5.2K ที่ 30 เฟรมต่อวินาทีครับ ภาพที่ได้ จะมีความคมชัดประมาณ 720p เมื่อคำนวณด้วยวิธีคิดแบบคร่าวๆ ครับ
รู้ไว้ใช่ว่า…
การคำนวณแบบง่ายๆ ว่าภาพหรือวิดีโอที่ถ่ายแบบ 360 องศาจะมีความคมชัดประมาณไหน ให้เอาความละเอียดที่ถ่ายมาหารด้วย 3 ครับ เช่น ถ่ายภาพนิ่ง 360 องศาที่ 18 ล้านพิกเซล หาร 3 ก็เหลือ 6 ล้านพิกเซล หรือวิดีโอ 360 องศา ความละเอียด 5.2K ของ GoPro Fusion ซึ่งวิดีโอที่ได้มีความละเอียด 4096×2048 เอา 2048 ไปหาร 3 ก็ได้ราวๆ 682.67 ก็เรียกว่าเกือบๆ ได้เท่าๆ HD 720p อยู่ (คือ คมชัดกว่า DVD แต่ด้อยกว่า HD นิดหน่อย)
ฟีเจอร์นึงที่เป็นจุดขายของ GoPro Fusion (และในอีกหลายยี่ห้อ เพียงแต่อาจจะใช้ชื่อเรียกต่างกัน) ก็คือ OVERCAPTURE ครับ มันคือการที่ใช้คุณสมบัติของกล้อง 360 องศา ซึ่งก็คือการเก็บภาพรอบทิศทางมาให้เป็นประโยชน์ในการตัดต่อวิดีโอ เพื่อให้ได้วิดีโอแบบมุมมองปกติ แต่เราสามารถเลือกแพนกล้องได้ตามใจ เพราะกล้องมันถ่ายภาพมาทุกมุมอยู่แล้ว (ถึงได้เรียกว่า OVERCAPTURE คือ เก็บภาพมาเกินความจำเป็น นั่นเอง) ดูตัวอย่างจากวิดีโอของ GoPro ด้านบนครับ จะเห็นว่ามันทำ Interface มาใช้งานง่ายมาก แค่กดบันทึก แล้วก็ใช้สมาร์ทโฟนแพนตามไป เหมือนเป็นกล้องจริงๆ เลย
ส่วนด้านบนนี่ คือตัวอย่างของวิดีโอที่ผมทำด้วยฟีเจอร์ OVERCAPTURE ครับ ก็เอามาจากวิดีโอ 360 องศาที่ผมเอามาเป็นตัวอย่างให้ดูนั่นแหละ แต่อันนี้ผมทำด้วยสมาร์ทโฟน ด้วยวิธีตามวิดีโอใน YouTube ของ GoPro ครับ

แบตเตอรี่ GoPro Fusion เป็นแบบความจุ 2,620mAh ลองเอามาใช้ถ่ายโน่นถ่ายนี่ แบตเตอรี่จะอยู่ได้ราวๆ 1 ชั่วโมงนิดๆ โดยรวม ตอบยากว่าพอไหมสำหรับการใช้งาน เพราะเราไม่ได้ถ่ายยาวๆ อยู่แล้ว แต่การพกแบตเตอรี่สำรองไปอีกก้อนก็เป็นความคิดที่ดีอยู่ แบตเตอรี่มันหมดเร็วมากจากสองปัจจัย อันแรกคือ มันต้องทำงานสองกล้องพร้อมกัน อันที่สองคือ มันต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทั้งเพื่อสั่งงาน และเพื่อถ่ายโอนภาพมาที่สมาร์ทโฟนนั่นแหละ

เกือบลืมพูดถึงการใช้งานแอป GoPro ครับ เป็นแอปที่ใช้งานแอบยุ่งยากไปหน่อย การปรับตั้งค่าของ GoPro Fusion ก็มีอยู่มากพอสมควร และมันทำบนตัวกล้องไม่สะดวกเอามากๆ การสั่งงานผ่านแอปควรจะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น แต่ผมกลับพบว่า การเชื่อมต่อผ่าน WiFi ยังขาดความเสถียร และงงๆ บางทีแอปมันบอกว่าเชื่อมต่อกับ GoPro Fusion ไม่ได้ ไม่เจอการเชื่อมต่อ WiFi แต่ผมก็เข้าไปดูรูปในกล้องได้เฉยซะงั้น
การสั่งงานผ่าน WiFi ควรจะมีระยะทางไกลประมาณนึง เช่น 10 เมตรควรจะชิลๆ แต่เอาเข้าจริงๆ พอไกลมานิดหน่อย สัญญาณก็เริ่มมีปัญหาแล้ว ยังดีว่าแม้สัญญาณจะเริ่มมีปัญหา แต่ก็ยังสามารถสั่งลั่นชัตเตอร์ได้ เพียงแต่จะไม่ได้เห็นพรีวิวของภาพที่ถ่าย
ความเร็วในการส่งสัญญาณภาพมายังสมาร์ทโฟนยังต่ำอยู่มาก ซึ่งจริงๆ แล้ว หากทำ WiFi ให้รองรับทั้ง 802.11a/b/g/n/ac ละก็ พอใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่รองรับ 802.11ac ก็น่าจะมีแบนด์วิธมากพอที่จะส่งภาพวิดีโอความละเอียดสูงๆ ประมาณนึงมา มันจะช่วยให้เราใช้งานได้ดีขึ้นอีกเยอะเลย
ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ GoPro Fusion ก็เช่น การสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งรองรับ 10 ภาษา (เสียดายไม่มีภาษาไทยจ้า) แล้วก็กันน้ำได้ที่ความลึก 5 เมตร เป็นเวลา 30 นาที ฉะนั้นถ่ายๆ อยู่ฝนตก ไม่ต้องกลัว หรือจะเอาไปถ่ายในสระว่ายน้ำซะบ้าง ลงทะเลบ้าง ก็พอไหวเช่นกัน แต่อย่าเผลอทำจมน้ำหายไปล่ะ ที่สำคัญ ผมไม่ค่อยอยากแนะนำให้เอาไปเล่นน้ำทะเลหรอกนะ มันมีเกลือ แต่ถ้าจะเอาไปใช้ พอขึ้นมาก็ล้างน้ำจืดแล้วเช็ดให้แห้งด้วยล่ะ
จุดเด่นอีกอย่างคือ ด้วยความเป็น GoPro ด้วยละมั้ง มันเลยมีปลั๊กอินให้ Fusion Studio ทำงานร่วมกับ Adobe Premier ได้ ฉะนั้นใครที่อยากถ่ายวิดีโอ 360 องศา แล้วตัดต่อแบบมืออาชีพด้วย ก็น่าจะถูกใจ
บทสรุปการรีวิว GoPro Fusion
ผมเชื่อว่าอนาคต กล้อง 360 องศาที่สามารถถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอที่ความละเอียดสูงๆ มากกว่านี้ได้ มันก็จะออกมาอีกแหละ แต่ ณ ตอนนี้ ด้วยราคาที่พอจะเอื้อมถึง และได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่มีคุณภาพดีเพียงพอ GoPro Fusion นี่ดูจะเด็ดสุดแล้ว เป็นหนึ่งในกล้องที่ผมเองก็อยากจะพกติดตัวเอาไว้สำหรับถ่ายภาพสำหรับตอนไปเที่ยวจริงๆ

ผมชอบ GoPro Fusion Grip มาก ทำหน้าที่เป็นทั้งด้ามจับเวลาเดินและ Tripod ได้ในตัว และด้วยความที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ GoPro เอง เวลาต่อภาพเป็น 360 องศาแล้วก็จะไม่เห็นตัวด้ามจับด้วย แต่มันเสียดายตรงที่ตัว GoPro Fusion เอง มันมีติ่งสำหรับยึดกับอุปกรณ์เสริมยื่นออกมา ทำให้มันไปวางอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ด้วยตัวมันเองไม่ได้ ผิดกับกล้อง 360 องศาค่ายอื่นๆ เช่น LG 360 Cam, Insta360 One หรือ Ricoh Theta
อย่างไรก็ดี คู่แข่งที่น่ากลัวของเจ้านี่คือ Insta360 One X ครับ ทั้งด้านราคา อุปกรณ์เสริม และลูกเล่น (เช่น Drift Shot หรือ Bullet Time) ฮะ ก็แล้วแต่จะชอบกันเลย