เห็นเพื่อนๆ ใช้กัน ก็อยากรีวิวนะ แต่ราคาขายในไทยผ่านร้านที่มีรับประกันอย่าง Mac Modern บน Lazada นี่คือ 25,980 บาท แพงระยับมากครับพี่น้อง ไม่มีปัญญาจริงๆ 🤣🤣 แต่ปรากฏว่า น้องชายผมไปซื้อมาพอดีแล้วถามว่า “เฮีย จะเอาไปรีวิวก่อนไหม” แหม่ จะปฏิเสธไปทำไมล่ะ จริงไหม
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
Kindle Scribe 64GB พร้อม Premium Pen เซ็ตนี้ ได้รับความเอื้อเฟื้อมาจากน้องชายที่ซื้อมาแล้วเอามาให้ยืมเล่นก่อนครับ
แกะกล่องออกมาดูก่อน มีอะไรแอบซ่อนอยู่เยอะเหมือนกันแฮะ ที่เห็นชัดๆ คือ ตัวเครื่อง Kindle Scribe ที่มีขนาดหน้าจอ 10.2 นิ้ว แต่จะอวบอ้วนแปลกๆ เพราะขอบจอด้านหนึงมันหนากว่าด้านอื่นๆ ตรงนี้เข้าใจว่าออกแบบมาเพื่อให้เวลาคนที่จะถืออ่านมือเดียวจะได้มีพื้นที่ให้พักอุ้งมือจับได้แน่นๆ โดยไม่ไปบังหน้าจอ นอกจากนี้ก็จะมีปากกา Premium Pen ที่ตรงด้านก้นของปากกา มันจะทำหน้าที่เป็นยางลบเวลาขีดๆ เขียนๆ บน Kindle Scribe ได้ แล้วก็มีสายชาร์จ USB-C ความยาวประมาณ 1 เมตร มีกล่องใส่หัวปากกา Premium Pen เอาไว้เปลี่ยน มีให้ 5 อัน พร้อมอุปกรณ์สำหรับถอดหัวปากกา และสุดท้ายคือ แผ่นคู่มือการใช้งานแบบ Quick guide

ตัว Quick guide ของ Kindle Scribe ก็เป็นแบบเรียบง่าย มีแค่ 3 หน้า สอนเฉพาะส่วนที่สำคัญ ก็มีการอธิบายองค์ประกอบต่างๆ ของตัว Kindle Scribe และ Premium Pen การเปิดใช้งาน และการเปลี่ยนหัวปากกา Premium Pen

ด้านหน้าของ Kindle Scribe ก็อย่างที่บอกไปตอนต้น คือ หน้าจอแสดงผลแบบ E-Ink ขนาด 10.2 นิ้ว มีขอบจอด้านหนึ่งหน้ากว่าด้านอื่นๆ ชัดเจนเพื่อให้ใช้มือข้างเดียวจับอ่านได้แน่นๆ อุ้งมือไม่ไปบังหน้าจอ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าออกแบบมาแบบนี้ ก็ต้องใช้มือซ้ายจับอย่างเดียวเหรอ เพราะเขามีการใส่ Accelerometer มาให้ ทำให้สามารถกลับภาพหน้าจอได้ 180 องศา เอาด้านขอบจอหนาๆ ไปไว้ทางขวาก็ได้ สำหรับคนที่อยากจะถือมือขวาครับ

ด้านหลังของ Kindle Scribe เป็นแบบเรียบง่าย วัสดุเป็นโลหะ ที่น่าสนใจคือ ตอนผมวางมันเพื่อถ่ายรูปด้านหน้า ผมรู้สึกว่าเลื่อนตัวเครื่องเพราะจัดตำแหน่งถ่ายรูปยากๆ พอพลิกกลับมาดูด้านหลัง เห็นตรงมุมทั้งสี่ด้านมีแผ่นยางเล็กๆ ติดไว้ 4 จุดครับ เอาไว้กันลื่น น่าจะเพราะว่าเวลาที่วางบนโต๊ะเพื่อขีดๆ เขียนๆ จะได้ไม่ลื่นนั่นเอง

ด้านข้างที่มีขอบจอหนา จะมีปุ่ม Power และพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่อยู่ครับ นอกจากนี้แล้ว รอบๆ ตัวเครื่องก็ไม่มีอะไรอีก ด้านข้างฝั่งตรงข้ามคือจุดที่เอาไว้ติด Premium Pen เพราะมีแม่เหล็กอยู่ตรงนั้น

สำหรับคนไม่เคยเปิดใช้งานมาก่อน เวลาจะใช้งาน Kindle เป็นครั้งแรกก็จะต้องทำการลงทะเบียนอุปกรณ์ครับ ทำได้ไม่ยาก ก็แค่ทำตามที่หน้าจอมันบอกตอนเรากดเซ็ตอัป Kindle ครับ มันจะให้เราไปที่เว็บไซต์ amazon.com/code ล็อกอินด้วย Amazon account ของเรา เพื่อเตรียมกรอกโค้ด จากนั้นก็กดสร้างโค้ดจาก Kindle Scribe เอาโค้ดที่ได้ไปกรอก ก็จะลงทะเบียนเรียบร้อย

Kindle Scribe นี่ถ้าเทียบกับพวกเครื่องอ่านอีบุ๊กอีกหลายๆ ยี่ห้อที่ขายในไทย รวมถึง BOOX ที่ผมเคยซื้อไว้รุ่นนึง (เพิ่งขายต่อให้เพื่อนไปแล้ว) และที่เคยรีวิวไว้อีกรุ่นนึง (BOOX POKE 2) แล้ว ความสามารถจะต่างกันครับ หลายๆ ยี่ห้อเขาใช้ระบบปฏิบัติการ Android ก็จะเท่ากับว่านอกจากจะอ่านหนังสือที่ซื้อจาก Amazon ผ่านแอป Kindle ได้แล้ว ก็จะดาวน์โหลดแอปอื่นๆ มาใช้งานได้ด้วย แต่เครื่องอ่านพวกนั้น ถ้าเป็นพวกราคาไม่แพงมาก มันจะหน่วงเอาเรื่อง เพราะสเปกของฮาร์ดแวร์ (CPU + RAM) มันรันแอปของ Android ไม่ค่อยจะไหว คือ ถ้าไม่ติดว่าอยากได้จอ E-Ink นี่ ผมบอกเลย ใช้แท็บเล็ต Android ไปเลยดีกว่า

แต่ Kindle Scribe นี่จะทำหน้าที่แค่อ่านหนังสือของ Amazon เหมือนการใช้แอป Kindle เท่านั้น เราสามารถดาวน์โหลดหนังสือที่อยู่ใน Library ของเราได้ เราสามารถที่จะเลือกช้อปหนังสือเล่มใหม่ๆ ได้ด้วย และเราก็สามารถซื้อพร้อม Audio book (ผ่านบริการของ Audible) ได้ด้วย เพียงแต่ว่าถ้าอยากจะฟัง ก็ต้องต่อกับลำโพงหรือหูฟังแบบไร้สาย เพราะ Kindle Scribe นี่มาพร้อม Bluetooth

หน้าจอแบบ E-Ink เนี่ย ไม่กลัวแสงจ้าครับ เพราะมันเหมือนกับกระดาษเลย ถ้าเราใช้งานตอนกลางวันนี่คือ อ่านได้เหมือนกระดาษเลย แต่ปัญหาคือ พอไม่มีแสงสว่างนี่อ่านไม่ได้เลย พวกเครื่องอ่านอีบุ๊กเลยมักจะมีการติดตั้งไฟ LED ไว้ในหน้าจอเพื่อให้ความสว่างในตอนกลางคืน และ Kindle Scribe นี่ก็เช่นกัน หน้าจอมี LED 35 ดวง ช่วยในเรื่องของการเพิ่มความสว่างของหน้าจอในกรณีที่เราใช้งานอ่านตอนกลางคืน และเราสามารถปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอได้ด้วยว่าอยากให้จอดูขาวๆ หรือ ส้มๆ หน่อย


ความสว่างหน้าจอของ Kindle Scribe จะปรับได้ 24 ระดับ และเราสามารถเลือกเป็นปรับอัตโนมัติ (Auto Brightness) ได้ด้วย และเช่นกัน อุณหภูมิสีของหน้าจอก็เลือกได้ 24 ระดับ จากขาวสุดๆ ไปเป็นเหลืองส้มเหมือนเอาวิตามินซีแบบเม็ดฟู่ละลายน้ำไปหย่อนลงน้ำเลยทีเดียว

เวลาอ่านหนังสือคนเราไม่ได้แค่ต้องการไฮไลต์เนื้อหาที่เราอ่านเท่านั้น แต่บางทีเราก็อยากจะจดโน้ตด้วยเช่นกัน ซึ่ง Kindle ก็มีจะฟีเจอร์ให้เราสามารถใส่ Text note เข้าไปได้ ก็ใช้ On-screen keyboard พิมพ์ครับ เหมือนใช้งานแท็บเล็ตแหละ แต่ว่าจนถึงป่านนี้ประเทศไทยก็ยังเป็นลูกเมียน้อยนะครับ มีคนซื้อ Kindle เยอะ แต่ไม่มีขายอย่างเป็นทางการ เว็บ Amazon ก็ไม่มาส่งประเทศไทย On-screen keyboard ก็ไม่มีภาษาไทยให้พิมพ์ด้วยนะ

ฟีเจอร์เด่นของ Kindle Scribe ก็ต้องเป็นการใช้ปากกา Stylus ในการจดโน้ต ขีดๆ เขียนๆ ด้วยลายมือครับ ตัวเซ็ต Kindle Scribe with Premium Pen ก็จะได้ปากการที่เป็น Premium Pen มาด้วย หน้าตาก็เหมือนปากกาด้ามนึงเลยครับ ทั้งขนาด และรูปร่าง ดีไซน์ด้านนึงจะเรียบๆ เอาไว้สำหรับใช้ติดกับตัวเครื่อง Kindle Scribe ด้วยแรงแม่เหล็กนั่นเอง



ปลายด้านปลายปากกาของ Premium Pen ก็แน่นอนว่าต้องมีปลายปากกาและมีปุ่ม Shortcut ที่เราสามารถไปตั้งได้จาก Settings ว่าจะให้เอาไว้ทำอะไร เลือกได้ระหว่างการเปลี่ยนประเภทของปากกาเป็น ปากกาไฮไลต์/ปากกาลูกลื่น/ปากกาหมึกซึม/มาร์กเกอร์/ดินสอ/ยางลบ หรือ เปิดใช้งาน Sticky note ถ้าใครใช้ Premium Pen ก็ไม่จำเป็นต้องไปเซ็ตให้ Shortcut เป็นยางลบเลยนะ เพราะปลายอีกด้านเนี่ย มันจะทำหน้าที่เป็นยางลบได้ครับ วิดีโอด้านล่างจะลองเขียนแล้วก็ลบด้วยส่วนที่เป็นยางลบให้ดูเลยครับ
ความรู้สึกของการใช้ Premium Pen ขีดๆ เขียนๆ บนจอของ Kindle Scribe นี่คือดีมาก ให้อารมณ์คล้ายๆ กำลังเขียนอยู่บนกระดาษเลย แต่ก็น่าจะทำให้หัวปากกาสึกอยู่ไม่น้อย เลยไม่น่าแปลกใจที่เขาจะแถมหัวสำรองมาให้เปลี่ยนตั้ง 5 อัน
ชอบตรงที่เส้นมันดูเหมือนปากกาลูกลื่นจริงๆ เลย คือ ขอบเส้นมันไม่เรียบ แล้วตอนใช้ตูดปากกาลบแทนยางลบก็กิ๊บเก๋ดี แต่ความรู้สีกของพลาสติกมันขูดขีดบนหน้าจอนี่ แอบกลัวจอเป็นรอยจัง ไม่กล้าทำแรง เพราะเดี๋ยว Kindle Scribe เป็นรอย 🤣🤣 ยืมน้องชายมาด้วยสิ นอกจากนี้ผมยังตั้งข้อสังเกตอีกเรื่องคือ ไม่รู้ว่ามันเป็นบั๊ก หรือ จงใจ แต่เดาว่าจงใจแหละ คือ เวลาเราลบสิ่งที่เราเขียน มันจะไม่ลบออกสะอาดเกลี้ยงเกลาครับ มันจะเหลือรอยจางๆ ให้ดูได้ว่าเราเขียนอะไรไว้ก่อนหน้านี้ คิดว่าเขาจงใจทำให้เป็นแบบนี้เพื่อให้มันเหมือนกับการลบสิ่งที่เราเขียนบนกระดาษจริงๆ


ฟีเจอร์ที่เพิ่มมา ก็ Notebook หรือ สมุดโน้ตครับ เขาก็จะมีให้เลือกเป็น Template เลยว่าอยากได้แบ็กกราวด์ของสมุดโน้ตเป็นแบบไหน เลือกให้เหมาะกับสิ่งที่เราจะเขียนก็ได้ เราสามารถสร้างได้หลายเล่ม และสามารถสร้างโฟลเดอร์เก็บโน้ตบุ๊กได้ การตอบสนองของตัว Premium Pen ต่อความเร็วในการเขียน สำหรับผม ผมคิดว่าโอเคนะ แต่ข้อจำกัดคือ เขามีตัวเลือกหัวปากกาค่อนข้างน้อย เพราะมันจอขาว-ดำนี่นะ และไม่มีฟังก์ชันในการซูมภาพนะครับ ใครที่คิดจะเอามาใช้วาดภาพอาจจะไม่ตอบโจทย์ เขาไม่ได้ออกแบบมาเผื่อไว้ แต่อนาคตหากมีคนเรียกร้องเยอะๆ (ซึ่งก็ไม่รู้จะเรียกร้องทำไม) เขาอาจจะทำก็ได้มั้ง
ประสบการณ์ในการใช้งานโดยรวม ก็ถือว่าไม่เลวนะครับ ไม่หน่วง รีเฟรชภาพของค่อนข้างพอสำหรับการทำงานเพื่ออ่านอีบุ๊ก ถ้าจะต้องจดโน่นนี่ ขีดๆ เขียนๆ ก็ทำหน้าที่เป็นสมุดโน้ตไปได้ด้วยเลย จอก็ใหญ่ ใครชอบเห็นอะไรชัดๆ โดยเฉพาะกลุ่ม ส.ว. (สูงวัย) ก็ชอบเลย แต่มันก็มีข้อเสียที่ชัดเจนคือ ความใหญ่มันก็จะพกลำบากหน่อย และน้ำหนักตัวเครื่องก็ 433 กรัม แบบไม่รวม Premium Pen และเคส แต่ถ้ารวมทั้งหมด ผมชั่งแล้วได้น้ำหนักกลายเป็น 646 กรัมเลยจ้า ก็เอาเรื่องอยู่



พูดถึงเคส ก็ต้องบอกว่า Official เคสของ Kindle Scribe ทำออกมาดีนะ เป็นเคสแบบแม่เหล็ก ติดหนึบดี มีรอยบุ๋ม 4 มุมเพื่อให้รับกับยางกันลื่นที่อยู่ตรงด้านหลังของตัว Kindle Scribe ตัวเคสนี่มีระบบที่พอปิดฝาเคสลงมาปิดหน้าจอแล้ว Kindle Scribe ก็จะปิดหน้าจอไป และฝาด้านหน้าก็ยังสามารถพับเป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อใช้ยกให้ตัวเครื่อง Kindle Scribe ทำมุมกับพื้นพอสมควรให้ขีดๆ เขียนๆ ได้สะดวก ตัวเคสเองก็มีช่องสำหรับใช้เสียบ Premium Pen ด้วยนะ
ใครสนใจ ประเทศไทยยังไม่มีร้านที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการ (เท่าที่ผมเข้าใจ) แต่มันมีร้าน Mac Modern ที่ขายอยู่ครับ กดปุ่มด้านล่างไปเลือกดูได้