Home>>รีวิว>>1 สัปดาห์ผ่านไป ใช้ iPhone 14 Pro แล้วเป็นยังไงมั่ง?
มือข้างขวากำลังถือ iPhone 14 Pro อยู่
รีวิว

1 สัปดาห์ผ่านไป ใช้ iPhone 14 Pro แล้วเป็นยังไงมั่ง?

ซื้อมาตั้ง 44,900 บาท (เพราะ True เขาลดให้ทันที 1,000 บาท แบบไม่ต้องต่อราคา) แถมเป็นการอัปเกรดใหญ่จาก iPhone 7 Plus รุ่นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ก็ต้องมาทบทวนกันหน่อยครับว่าใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง ชอบหรือไม่ชอบตรงไหน ยังไง เก็บไว้เป็นบันทึก เดี๋ยวพอใช้ไปนานๆ ซักครึ่งปี ค่อยมาว่ากันใหม่อีกที

ทำไมถึงเลือกซื้อ iPhone 14 Pro?

iPhone มันแบ่งเป็นรุ่นธรรมดา Pro และ Pro Max มาตั้งกะ iPhone 11 ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ใช้มาก่อน แต่ด้วยความที่เคยซื้อ iPhone 12 Pro ให้ภรรยามา ก็ได้เคยลองจับๆ ดูว่า iPhone 12 Pro กะ iPhone 12 Pro Max มันมีขนาดและน้ำหนักแตกต่างยังไง และก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าผมใช้ iPhone 7 Plus ก็แฮปปี้กับขนาดหน้าจอดีอยู่แล้ว iPhone 12 Pro ก็จะมีขนาดใกล้เคียงกัน เหมาะมือ และน้ำหนักพอดีมือสุด

จริงๆ ไซส์นี้เนี่ย iPhone 14 ธรรมดามันก็ได้ครับ แต่ที่เลือกรุ่น Pro ก็เพราะมันมีเลนส์กล้องครบทั้งเลนส์มุมกว้างปกติ เลนส์มุมกว้างพิเศษ (Ultrawide) และเลนส์ซูม (Telephoto) ครับ รุ่นธรรมดามันไม่มีเลนส์ซูม

Always On Display การแสดงผลแบบหน้าจอติดตลอดเวลา

ต้องยอมรับก่อนนะว่าเป็นอะไรที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ Android เขาทำได้มานานแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า Apple ทำออกมาได้ดีครับ คือมาสไตล์ Apple ที่สตีฟ จ๊อบส์ เคยบอกว่า เราไม่ใช่คนแรกที่ทำ แต่เราคือคนที่ทำได้ดีที่สุด ครับ คือ เขารอจนกระทั่งหน้าจอ iPhone 14/Pro/Pro Max มันสามารถปรับรีเฟรชเรตลงมาต่ำสุดได้ที่ 1Hz ถึงจะค่อยทำฟีเจอร์ Always On Display ออกมา (แต่หน้าจอที่ปรับลดรีเฟรชเรตลงเหลือ 1Hz ได้นี่ ก็ไม่ใช่ iPhone 14 Pro/Pro Max เป็นเจ้าแรกนะ Samsung Galaxy S22 Ultra ทำมาได้ก่อน)

นอกจากนี้ Always On Display ของค่ายฝั่ง Android ก็ยังไม่มีอันไหนที่ทำออกมาได้ดูสวย น่าสนใจ เท่าของ Apple นะ เท่าที่ผมลองเล่นดู ทั้งของ Samsung และของ HUAWEI (แต่ของ HUAWEI เนี่ย ถือว่าโอเคอยู่ประมาณนึง ดีกว่าของ Samsung) ดูคลิปสอนการตั้งค่า Always On Display ของค่าย Samsung และ HUAWEI ด้านบนได้

ความเจ๋งของ Always On Display ของ Apple มันคือการให้เราสามารถเอารูปภาพมาทำเป็น Lock screen ได้ แต่ไม่ใช่แค่นั้น มันยังใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ใหม่ของ iOS16 ที่สามารถวิเคราะห์รูปและแยกแยะวัตถุออกจากแบ็กกราวด์ของภาพได้ ก็ทำให้ใส่เอฟเฟ็กต์น่าสนใจได้ เช่น การทำ Color wash หรือการเอาบางส่วนของเรา ไปวางทับ Widget บนหน้าจอได้ เก๋กู้ด แต่อะไรแบบนี้ก็แล้วแต่คนจะชอบนะ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ว้าวอะไรกับเขาหรอก แต่พอได้ลองปรับแต่งเองแล้ว เออ มันโอเคว่ะ

แต่ปัญหาของ Always On Display เนี่ยก็น่าจะเป็นเรื่องแบตเตอรี่ครับ ถ้าเปิดทิ้งไว้ยาวๆ ก็น่าจะกินแบตเตอรี่น่าดู แต่ Apple น่าจะมั่นใจมากแหละ ว่า Always On Display ไม่น่าจะกินแบตเตอรี่เยอะมากจนมีผลกระทบต่อการใช้งาน เพราะมันอาศัย 3 เรื่อง คือ

1️⃣ หน้าจอแสดงผลแบบ OLED มันกินแบตเตอรี่ต่ำอยู่แล้ว หากมีการแสดงผลสีดำ หรือสีเข้มๆ หน่อย

2️⃣ ตอนเปิดใช้ Always On Display หน้าจอแสดงผลก็จะถูกปรับความสว่างลงไปที่ต่ำสุด ประหยัดพลังงานเข้าไปอีก

3️⃣ ถึงจะเรียกว่า Always On Display ก็ตาม แต่พอมันตรวจจับได้ว่า iPhone ถูกเก็บลงในกระเป๋า หรือ ถูกวางคว่ำหน้าจอลง มันก็จะปิดหน้าจอเองครับ ประหยัดแบตเตอรี่เข้าไปอีก

ผลที่ได้ก็คือ หน้าจอ Always On Display สวยๆ ที่แม้จะไม่ได้สว่าง แต่เราก็ได้เห็นว่าหน้า Lock screen มันมีหน้าตาเป็นยังไง สวยไหม อวดชาวบ้านเขาได้ แต่เอาจริงๆ มันก็แล้วแต่คนชอบนะครับ หลายคนชอบให้สมาร์ทโฟนที่ปิดหน้าจอแล้ว มันปิดไปเลยมากกว่า ซึ่ง Apple ก็ให้เราปิดฟีเจอร์นี้ได้แหละ

หน้าจอ Lock screen แบบใหม่ของ iOS16 บน iPhone 14 Pro เป็นแบบที่ถูกปรับแต่งแล้ว เป็นรูปของผู้ชายใส่แว่นและผู้หญิงผมยาว ทั้งคู่สวมชุดกี่เพ้าจีนสีแดง

แต่สำหรับคนใช้ Always On Display มันมีกระแสความกังวลปัญหาหน้าจอ Burn in ซึ่งหมายถึงกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงผลภาพเดิมๆ ซ้ำๆ บนจุดเดิมๆ ของหน้าจอแสดงผล ส่งผลให้มันเกิดเงาของภาพนั้นค้างไว้บนหน้าจอ ซึ่งอะไรแบบนี้ ผมเคยเจอมาแล้วตอนใช้ Samsung Galaxy Note ครับ แถบ Notification ด้านบนอะ มักจะแสดงผลสีเดิมๆ ส่งผลให้มันเกิดอาการ Burn in แต่ในกรณีของ Always On Display เนี่ย มันคือแสดงภาพหน้าจอเดิมๆ ค้างไว้ จะน่าเป็นห่วงไหม ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวของผม ผมมองว่าเทคโนโลยีปัจจุบันเขาแก้ปัญหานี้บนจอประเภท OLED และ AMOLED ไปเยอะแล้ว เช่น Samsung Galaxy Z Fold 2 ที่ผมใช้มา 2 ปีแล้วเนี่ย ก็ยังไม่เจออาการ Burn in นะครับ ผมเข้าใจว่าที่ปัญหานี้มันลดน้อยลง มันน่าจะเพราะปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น

*️⃣ คนหันมาใช้ Dark mode กันมากขึ้น จอส่วนใหญ่ก็คือจะมืด หรือเป็นสีดำไป ก็จะช่วยลดอาการ Burn in ไปได้มากแล้ว

*️⃣ ของ Samsung Galaxy เนี่ย อย่างที่ผมบอกว่าปัญหา Burn in ที่ผมเจอคือตรงบริเวณ Notification bar เพราะมันชอบแสดงสีเดิมๆ ตลอด แต่งวดนี้เท่าที่ผมลอง เปิดแอปหลายๆ ตัว ก็เพิ่งสังเกตว่าสีของ Notification bar มันเปลี่ยนไปตามแอปต่างๆ เว้ย

บางส่วนของหัวข้อ Screen time ของระบบปฏิบัติการ iOS16 แสดงค่าเฉลี่ย Screen time ที่ 7 ชั่วโมง 42 นาที

*️⃣ เอาจริงๆ สมัยนี้ Screen time หรือ เวลาที่ถูกใช้อยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งาน มันนานมากอะครับ อย่างผมนี่คือ วันนึงๆ ใช้โดยเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 42 นาทีเลยทีเดียว การใช้งานแบบเนี้ย ก็จะทำให้ภาพมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็จะลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ Burn in ลง

นอกจากนี้ Apple ก็มีฟีเจอร์อีกที่ให้ใช้แบบเนียนๆ เพื่อลดอาการ Burn in หากเปิด Always On Display มาอีก เช่น ปิดหน้าจอโดยอัตโนมัติเมื่อสมาร์ทโฟนอยู่ในกระเป๋าหรือคว่ำหน้าจอลง การออกแบบให้ Lock screen เปลี่ยนได้โดยอัตโนมัติ โดยลิงก์กับ Focus mode เป็นต้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูว่าใช้ไปนานๆ แล้วจะเป็นยังไงต่อไปอะนะ เดี๋ยวพอใช้ๆ ไปซัก 6 เดือน หรือ ปีนึง ถ้าเกิดไม่ลืม จะกลับมาเล่าสู่กันอ่านอีกที

จนถึง iOS16 แล้ว ก็ยังใช้ Gboard แทนคีย์บอร์ดของ iOS ไม่เวิร์กอยู่ดี

ผมใช้ Gboard (คีย์บอร์ดของ Google) บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ไม่ว่าจะใช้ของยี่ห้อไหนก็จะใช้ Gboard นี่แหละ มันจะได้เป็นประสบการณ์เดียวกัน และจริงๆ ผมก็ชอบคีย์บอร์ดของ Google นี่เพราะมันพิมพ์ด้วยเสียงค่อนข้างแม่นเป๊ะมาก พิมพ์ภาษาอังกฤษมันก็เข้าใจสำเนียงผม จะพิมพ์ Emoji ก็สะดวกดี เพราะมันเป็นเหมือนตัวเลือกการแทรก Emoji อยู่บนคีย์บอร์ดทุกภาษา (ของ iOS มันต้องเพิ่ม Emoji keyboard เข้าไป ก็แอบรำคาญ เพราะผมใช้ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ จีน ถ้าเพิ่ม Emoji เข้าไปอีก ก็กลายเป็น 4 เดะ)

แต่พอเอาไปใช้บน iOS16 แล้วคือ ชิบหายวายป่วงมากสำหรับผม

*️⃣ Gboard ตอบสนองค่อนข้างช้า พิมพ์เร็วๆ มันรู้สึกได้เลยว่ามันหน่วงกว่าการใช้คีย์บอร์ดของระบบปฏิบัติการ iOS และสู้ของบนระบบปฏิบัติการ Android ก็ไม่ได้

*️⃣ ไม่รู้ทำไม พิมพ์บน Gboard แล้ว มันพิมพ์ตัวอักษรหรืออักขระผิดเยอะมาก คือ ตอนกดบนหน้าจอมันก็ตรงตัวอักษร ทำไมที่พิมพ์ออกมามันไม่ตรงวะ

*️⃣ ปุ่มเปลี่ยนภาษาสับสน เพราะอิปุ่มลูกโลกยังอยู่เหมือนเดิม ตรงมุมด้านล่างซ้ายมือ แต่ปุ่มรูปฟันเฟืองของ Gboard ก็เอามาใช้เปลี่ยนภาษาของ Gboard ได้

มันกระทบกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมาก สุดท้าย ย้ายกลับใช้คีย์บอร์ดของ iOS เหมือนเดิม

กล้องของ iPhone 14 Pro ดีงาม LiDAR ทำให้ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอดีมาก

ผมไม่ใช่คนเล่นกล้อง แต่ผมชอบถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง เวลาไปเที่ยว ไปกินโน่นนี่ ก็อยากถ่ายรูปสวยๆ และกล้องดิจิทัลของสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android มันก็จะนำหน้า iPhone ของ Apple ไปทุกที แต่มันจะมีจุดนึงที่ Apple เขาก็จะปล่อยของ อัปเกรดกล้องจนมันดีพอที่จะไปไฝว้กับกล้องดิจิทัลของระบบปฏิบัติการ Android ได้ และผมว่า iPhone 14 Pro ก็คือจุดนั้นอะ ด้วยเซ็นเซอร์กล้องหลัง 48 ล้านพิกเซล ถ่ายแบบ ProRAW ได้อีก ความสามารถด้าน Computational photography ก็มากพอจนภาพถ่ายที่ได้ มันแทบจะชดเชยการพกกล้องตัวใหญ่ๆ ได้แล้วอะ ดูจากแกลลอรี่ภาพด้านล่างดูละกันครับ นี่ถ่ายแบบแทบจะไม่ได้ปรับอะไรเลย ยกเว้นรูปแมวส้ม 2 รูป ที่มีปรับสี ใส่เอฟเฟ็กต์นิดหน่อย มี 3 รูปแรกถ่ายด้วย Portrait mode ด้วย รูปแมวถ่ายในห้องนอน ตอนกลางคืน

การมีเซ็นเซอร์ LiDAR มันทำให้การถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอมันดีขึ้นเยอะมาก แล้วแอป Photos ของ Apple มันก็มีความสามารถในการแต่งภาพได้ดีมาก แม้ว่าจะไม่ได้ถ่ายภาพในแบบ ProRAW มันก็ยังเอามาปรับสีปรับแสงได้ดีเวอร์อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการดึงสีแบบเนียนๆ เจ๋งๆ มากๆ แนะนำว่าถ่ายแบบ ProRAW ครับ

ผมไม่ใช่สาย Content creator แนววิดีโอ แต่ได้มีโอกาสลองถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาตอน iPhone 13 Pro/Pro Max ก็ต้องบอกเลยว่า ใครชอบถ่ายทำพวกหนังสั้นเนี่ย iPhone 14 Pro/Pro Max ตัวเดียวอาจจะเอาอยู่ โดยเฉพาะถ้าถ่ายแบบ ProRES ไปเกรดสีต่อทีหลัง แต่อาจจะรำคาญเวลาจะต้องเอาไฟล์วิดีโอออกมาหากไม่คิดจะใช้ Airdrop หรือ iCloud backup นะ เพราะ Lightning มัน USB 2.0 ถ่ายโอนข้อมูลช้ามาก แล้วการถ่ายวิดีโอแบบ Full HD หรือ 4K คือ ไฟล์ใหญ่เวอร์ อย่างน้อยๆ ก็ 1GB ต่อนาทีแล้ว

โมดูลกล้องปูดๆ เอามาทำเป็นมีม เอามาแซะได้ แต่ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ในการใช้งาน

การอัปเกรดกล้องดิจิทัลของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมกับโมดูลกล้องที่ใหญ่โตมโหฬารมากมาย เอาเป็นว่า เก็บมาไว้แซะได้ แต่บอกตรงๆ โมดูลกล้องของสมาร์ทโฟนฝั่ง Android พวกเรือธงที่เน้นชูจุดขายเป็นกล้องดิจิทัล มันก็เริ่มใหญ่เหมือนกันแหละ แซะเขาได้ไม่มาก ก็แหม อยากให้เซ็นเซอร์ใหญ่ เลนส์มีฟีเจอร์โน้นนี่นั่น อยากให้มีเลนส์ครอบคลุมช่วงโฟกัสเยอะๆ ขนาดมันก็ต้องใหญ่ดิ

โมดูลกล้องของ iPhone 14 Pro

แต่สุดท้าย โมดูลกล้องใหญ่ ก็ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อชีวิตประจำวันหรือการใช้งานครับ โดยเฉพาะถ้าเกิดเราติดฟิล์มกระจกกันรอยเลนส์แล้ว และใส่เคสที่ช่วยป้องกันได้อีกในระดับนึง

ใช้ๆ ไป เฮ้ย เกือบกลายเป็นเครื่องหลัก

จะเรียกว่าเห่อดีไหม แต่พอย้อนกลับไปมอง Screen time ของ iPhone 14 Pro เทียบกะ Samsung Galaxy Z Fold 2 แล้ว อ้าว เฮ้ย ผมใช้ iPhone 14 Pro เป็นหลักมากกว่า Samsung Galaxy Z Fold 2 ไปซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ Samsung Galaxy Z Fold 2 อะ คือเครื่องหลักของผมนะ เพราะเบอร์โทรผมก็อยู่ในนั้น พวกแอปธนาคารก็ใช่

แต่ไปๆ มาๆ ผมพบว่า ปกติแล้วแอปต่างๆ อะ มันใช้บนจอ iPhone 14 Pro ได้สะดวกกว่า เพราะหน้าจอใหญ่กว่าจอนอกของ Samsung Galaxy Z Fold 2 ไง ก็จะมีเฉพาะตอนจะดู YouTube แบบชิลล์ๆ หรือ อ่านการ์ตอนออนไลน์ นั่นแหละ ที่ผมจะมาใช้ Samsung Galaxy Z Fold 2 เพราะหน้าจอพอกางออกมาแล้วมันใหญ่กว่า สะดวกกว่าอ่านบน iPhone 14 Pro

แต่เอาจริงๆ นะ ไม่ว่าจะตัวไหน ถ้าถามผมว่าใช้แค่เครื่องเดียวไปเลยจะได้ไหม ถ้าจำเป็นจริงๆ ผมก็คงต้องบอกว่า ไม่มีปัญหานะผมว่า แล้วผมพกสองเครื่องทำไมวะเนี่ย 🤣🤣

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ ผมใช้แค่ดูว่ามีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ผมกี่คน กี่ครั้ง และดูหน้าเว็บไหนบ้าง ถ้าคุณปิดการใช้งาน ผมก็จะไม่เห็นว่ามีคนเข้ามาอ่านบล็อกของผมกี่คน กี่ครั้ง
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า