Home>>รีวิว>>iPhone 14 Pro 1st time ความรู้สึกแรกสัมผัส ของคนใช้ iPhone 7 Plus
ภาพระยะใกล้ของ Dynamic Island ของ iPhone 14 Pro
รีวิว

iPhone 14 Pro 1st time ความรู้สึกแรกสัมผัส ของคนใช้ iPhone 7 Plus

ไปรับมาเรียบร้อยครับ iPhone 14 Pro 256GB สีทอง ในขณะที่ผมเห็นเพื่อนๆ ผมจำนวนไม่น้อย ไปรับที่ Apple Store ในวันแรก ของผมนี่ขอแบบชิลล์ๆ ที่ True ครับ ก็แวะไปรับเครื่องที่ True Sphere สาขา ICONSIAM เก๋ๆ นั่งสบายๆ มีน้องพนักงานเข้ามาดูแลจัดการให้ และเมื่อได้เครื่องมาแล้ว ก็อยากจะเล่าความรู้สึกถึงความแตกต่าง ในฐานะที่ iPhone เครื่องปัจจุบันคือ iPhone 7 Plus เมื่ออัปเกรดแบบก้าวกระโดด 7 ปีแบบนี้ ความรู้สึกจะเป็นยังไงบ้างนะ และ First impression ของผมกับ iPhone 14 Pro จะเป็นยังไง อ่านดูเลย

ผมคงไม่ต้องออกตัวล้อฟรีเหมือนทุกทีละนะ ว่าอิ iPhone 14 Pro นี่ จ่ายเงินซื้อเองครับ 🤣🤣

iPhone เครื่องล่าสุดที่ซื้อคือ iPhone 12 Pro ที่ซื้อมาให้ภรรยาครับ ฉะนั้นก็เลยยังไม่รู้สึกว่าแพ็กเกจมันแตกต่างอะไรมาก คือ อิกล่องบางๆ เล็กๆ และไม่แถมตัวอะแดปเตอร์กับหูฟังมาให้ เพราะต้องการรักษ์โลก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เขาน่าจะมีอะแดปเตอร์อยู่แล้ว และใช้หูฟังอื่นๆ ที่สเปกดีกว่าของแถม ส่วนใครอยากใช้หูฟังแบบธรรมดาๆ ที่เคยแถมมาให้ ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ยังมีขายแยกต่างหาก 790 บาทเองจ้า เอาจริงๆ ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าการไม่แถมอะไรพวกนี้มา มันช่วยรักษ์โลกได้เพิ่มมาแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ อะ Apple ประหยัดเงินไปราวๆ 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐครับ

หน้าจอสเปกและราคาของหูฟัง EarPods พร้อมหัวต่อ Lightning จากเว็บไซต์ Apple

อุปกรณ์เสริมแพงเอาเรื่องเลยนะ จักรวาล Apple เนี่ย

สิ่งแรกที่ต้องเผชิญเลยก็คือ ค่าอุปกรณ์เสริมครับ ถ้าใครต้องการใช้อย่างสบายใจใน 2 ปี ไม่ต้องกลัวว่าจอพัง ทำเครื่องตก ฯลฯ ก็อาจจะซื้อ AppleCare+ ที่ต้อนนี้เขาปรับนโยบายเป็นคุ้มครองเครื่องตกเสียหายแบบไม่จำกัดจำนวนครั้งแล้ว (แต่ก่อนจำกัดที่ 2 ครั้ง/ปี) ก็ควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มอีก 8,290 บาทครับ

ส่วนผม ในฐานะที่ทู่ซี้ใช้ iPhone 7 Plus มาได้ตั้ง 7 ปี ก็รู้สึกว่า AppleCare+ ไม่น่าจะตอบโจทย์ผมแน่ๆ ซึ่งล่าสุดเนี่ย ผมวางแผนว่าจะใช้ยาวๆ 4 ปีครับ ตอนนี้แฟนผมใช้ iPhone 12 Pro ผมใช้ iPhone 14 Pro ถ้า 4 ปีเปลี่ยนที และส่งต่อให้คุณแม่ใช้ คุณแม่ผมก็จะได้เปลี่ยน iPhone ทุกๆ 2 ปี และตามหลังรุ่นล่าสุดแค่ 2 ปีเท่านั้น เก๋จะตาย

เมื่อไม่มี AppleCare+ ก็ต้องถนอมครับ ติดฟิล์มกันรอย ใส่เคส และเขาว่าอิขอบเลนส์ของกล้อง iPhone รุ่นหลังๆ มันถลอกง่าย อ่ะ ติดฟิล์มกันรอยเลนส์กล้องอีก ใช้บริการของร้าน Blink 7 ที่ MBK ครับ สุดท้ายจบที่

*️⃣ ฟิล์มกระจกหน้าจอ Sapphire ที่เป็นแบรนด์ของทางร้านเอง (เหยดดดด) 1,790 บาท

*️⃣ ฟิล์มติดเลนส์ iMos แบบ Sapphire เช่นกัน อันนี้ 1,290 บาท แค่ 3 จุดแค่เนี้ย แพงแสรด

*️⃣ เคส Air jacket Hybrid แบบไม่มี MagSafe เพราะคิดว่าไม่ได้ใช้ อันนี้ 790 บาท (ถ้าจะเอาแบบมี MagSafe จะต้องบวกอีก 200)

รวมๆ แล้วก็ 3,870 บาท คิดเป็น 8.6% ของค่าเครื่อง iPhone 14 Pro ที่ True เขาลดให้ทันที 1,000 บาท จากราคาปกติ 45,900 บาท เพราะผมซื้อเครื่องเปล่า ไม่ติดสัญญาแพ็กเกจใดๆ ฮะ … เอาจริงๆ ถ้าจะซื้อแบบไม่แพงก็มีขายนะ แต่รวมๆ แล้ว สุดท้ายมันก็เป็นพันแหละ อันนี้ใครจะจ่ายถูกหรือแพง แล้วแต่ศรัทธา สำหรับผม ผมกะใช้ 4 ปี ลงทุนแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มอยู่

ความรู้สึกแรกสัมผัส iPhone 14 Pro หลังจากใช้ iPhone 7 Plus มา 7 ปี

ตอนผมเลือกใช้ iPhone 7 Plus คือเพราะว่าผมอยากได้หน้าจอใหญ่ๆ (ซึ่งตอนนี้ Samsung Galaxy Z Fold 2 ตอบโจทย์นั้นแล้ว) แต่ตอนนี้ iPhone 14 Pro ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ก็ได้หน้าจอใหญ่ๆ พอๆ กับ iPhone 7 Plus แล้ว เลยไม่มีความจำเป็นต้องไปจ่ายตังค์เพิ่มอีก 3,000 เพื่ออัปเป็น iPhone 14 Pro MAX

สิ่งที่เห็นได้ชัดอย่างแรกตอนที่หยิบเครื่อง iPhone 14 Pro มาก็คือ โมดูลกล้องที่ใหญ่โคตรๆ เรียกว่าเกิน 50% ของความกว้างของตัวเครื่องไปแล้ว และนูนมากๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro ของภรรยาของผม ซึ่งอิความนูนนี่ทำให้เวลาวาง iPhone 14 Pro บนพื้นแล้ว มันโยกเยกได้เลย ถ้าสมัย iPhone 11 Pro ออกมาใหม่ๆ เราแซวว่ามันคือเตาแก๊ส 3 หัว iPhone 14 Pro นี่คือ เตาแก๊ส 3 หัวพร้อมมีกระทะวางบนหัวเตาแล้ว 🤣🤣

ในขณะที่ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ยังเป็นหน้าจอแบบติ่งเหมือนเดิม นั้น iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro MAX ได้ดีไซน์กล้องหน้าแบบใหม่ที่ Apple เขาเรียกว่า Dynamic Island ครับ (ใครนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ดูคลิปจาก Apple ด้านล่าง)

แต่สำหรับผมเนี่ย Dynamic Island มันก็แค่ติ่งที่ถูกดีไซน์มาใหม่เฉยๆ แหละ แต่มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะแม้ว่าอิรอยบากแบบเดิมมันจะดูน่ารำคาญ แต่ผู้ใช้งานก็อยู่กับมันมาหลายปีจนน่าจะชินแล้ว แต่อิรูกล้องแบบใหม่ มันเหมือนแถบดำๆ ที่ลอยเคว้งคว้างอยู่บนหน้าจออะ (เขาถึงเรียกว่า Island ที่แปลว่า เกาะ ไง) เขาก็เลยต้องพยายามหาทางกลบเกลื่อน 🤣🤣 แต่จริงๆ ก็ต้องบอกว่า Apple เขาทำได้ดีนะ มันทำให้อิแถบดำเนี่ย กลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของ User Interface ได้ดีเลย แถมยังมี API ไว้ให้นักพัฒนาไอเดียบรรเจิดเขาออกแบบแอปโดยเอาอิ Dynamic Island นี่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ UI ของแอปด้วย เช่น นักพัฒนาเกมแนว Pong ที่ทำเกม Hit the Island นี่เป็นต้น เก๋จะตาย

เอาจริงๆ Dymanic Island ก็ไม่ได้ดูเกะกะตาอะไรมากนะ เพราะมันอยู่บริเวณเแนวเดียวกะ Notification bar ของระบบปฏิบัติการ iOS อยู่แล้ว และตั้งแต่ iPhone X เป็นต้นมา มันก็มีรอยบากมาตลอด การออกแบบ User Interface ของแอปต่างๆ รวมถึงการเสพคอนเทนต์ เขาก็จะมีการเว้นพื้นที่ตรงบริเวณนั้นออกไป ดังนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย

Dynamic Island ของ

แต่พอจะเล่นเกมเท่านั้นแหละ เริ่มเห็นความน่ารำคาญขึ้นมาทันที เพราะเกมส่วนใหญ่เลยอะ เขาจะออกแบบมาให้ภาพมันขยายเต็มหน้าจอ แล้วก็จะโดนอิ Dynamic Island เนี่ย มันบังไปบางส่วน ถามว่าจะมีปัญหาอะไรไหม อันนี้ตอบไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ใช้สายเกมเมอร์แบบจริงจัง คือ ถ้าเป็นผมอะ เล่น PUBG แล้วมีอะไรแบบนี้ ผมไม่เดือดร้อน เพราะผมเน้นมองตรงกลางเป็นหลัก อิซ้ายมือมันจะไปบังศัตรูบ้าง ช่างมัน เพราะปกติก็อาจจะไม่ได้มองอยู่แล้ว แต่เกมเมอร์สายซีเรียสอาจจะไม่ชอบ หรือใครที่อยากเห็นภาพเกมสวยๆ แบบเต็มๆ ก็อาจจะไม่ชอบเช่นกัน

iPhone 14 Pro กำลังอยู่ในหน้าจอล็อกอินของเกม PUBG

กล้องของ iPhone 14 Pro งวดนี้ เขาว่าอัปเกรดแบบที่ Apple ไม่กั๊กแล้ว อย่างน้อยๆ เลนส์กล้องตัวหลักก็ให้เซ็นเซอร์ 48 ล้านพิกเซลมาซะที หลังจากปล่อยให้พวก Android เขาปล่อยไประดับ 100 ล้านพิกเซลมาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่เอาจริงๆ นะ สุดท้ายอะ ทุกค่ายก็จะใช้ซอฟต์แวร์ในการผสมพิกเซลมาจนเหลือ 12-16 ล้านพิกเซล เท่าๆ กับพวกกล้องหลักปกติครับ

ด้านหลังของ iPhone 14 Pro สีทอง กับกล้อง 3 เลนส์

การอัปเกรดมาเป็น iPhone 14 Pro นี่ทำให้ iPhone ผมพอจะใช้ทดแทน Samsung Galaxy Z Fold 2 เวลาถ่ายภาพได้ซะที และจริงๆ คือ เผลอๆ จะดีกว่าด้วย (เพราะของมันใหม่กว่าเนาะ) เพราะมันมีเลนส์ 3 ชุดแล้ว คือ เลนส์มุมกว้างปกติ เลนส์มุมกว้างพิกเซล (Ultrawide) และเลนส์ซูม (Telephoto) แถมดีกว่าหน่อยด้วย คือ มันถ่ายซูม Optical 3x อะ (Samsung Galaxy Z Fold 2 มันยัง 2x Optical) แต่โมดูลเลนส์มันโคตรปูดเลยครับ ปูดชนิดที่เรียกว่าพอวางราบลงกับพื้นโต๊ะเนี่ย สามารถเอานิ้วไปจิ้มๆ ให้มันโยกเยกๆ ได้เลย

อิโมดูลกล้องที่ปูดๆ อะ มันทำให้พวกตัวจับสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่มีแผงด้านหลังปิดเต็ม (เช่น รุ่นที่มี Wireless charging ในตัว) อาจจะใช้กับ iPhone 14 Pro ไม่ได้ครับ ผมลองเอาอิตัวจับสมาร์ทโฟนแบบหนีบหัวเตียงได้มาจับดู กะว่าจะได้นอนดูคลิปเพลินๆ ปรากฏว่าจับไปพักใหญ่ๆ iPhone 14 Pro ตกลงเตียงเว้ย ตกใจเลย เกิดอะไรขึ้น พอมาดูดีๆ อ้าว ด้านบนของตัวจับ จับได้ไม่เต็มที่ เพราะอิโมดูลกล้องมันปูดไปดันกับตัวแผงด้านหลังที่เป็น Wireless charging ซึ่งอะไรแบบนี้ Apple ไม่น่าแยแสใดๆ นอกจากยักไหล่แล้วบอกว่า ทำไมแกไม่ไปใช้ตัวจับรุ่นที่เป็น MagSafe 🤣🤣

หน้าจอ Lock screen แบบใหม่ของ iOS16 บน iPhone 14 Pro เป็นแบบที่ถูกปรับแต่งแล้ว เป็นรูปของผู้ชายใส่แว่นและผู้หญิงผมยาว ทั้งคู่สวมชุดกี่เพ้าจีนสีแดง

ในแง่ของการใช้งาน ใครที่อัปเกรดจากรุ่นเก่าแก่อย่าง iPhone 7 Plus แบบผมนี่ บอกเลยจะรู้สึกว่าว้าวครับ เพราะนอกจากจะให้ปรับแต่งหน้าจอ Lock screen ได้เจ๋งๆ แล้ว ยังมีฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์ใหม่ๆ มากอีกหลายอย่างเลย ซึ่ง iPhone 14 Pro นี่ก็จะได้ฟีเจอร์พวกนั้นมาทั้งหมด เพราะเป็นรุ่นที่ออกมาพร้อมกับ iOS16 งิ หน้าจองวดนี้ก็เป็น 6.1 นิ้ว แบบเต็มจอ เป็นแบบ LTPO Super Retina XDR OLED ซึ่งอย่าให้ไปเทียบกะจอ LCD ของ iPhone 7 Plus เล้ย นี่ยังไม่นับที่ว่ามันมีรีเฟรชเรตสูง 120Hz อีกนะ เอามาใช้นี่คือ ลื่นปรื๊ด และ CPU ตัวใหม่ ที่ใหม่กว่ากันตั้ง 7 ปี นี่คือมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเวอร์วัง 🤣🤣 ทำอะไรก็เร็วไปหมด

แต่ Learning curve ก็ต้องมาแล้วครับ เพราะงวดนี้ไม่มีปุ่ม Home แล้ว เราต้องทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งคนที่ใช้ iPhone X เป็นต้นมาก็จะยักไหล่แล้วบอกว่า อะไร ยังไม่ชินอีกเหรอ ชั้นเป็นแบบนี้มา 5 ปีแล้วเหอะแก แต่สำหรับคนที่โผล่มาจาก iPhone 7 Plus แบบผมนั้น … อยากจะเรียก Control Center ขึ้นมา อ้าว กลับไปหน้า Home เฉย อยากจะดู Notification ไปแตะตรงมุมบนด้านขวาแล้วลากลงมา (เพราะเป็นคนถนัดขวา) อ้าว เปิด Control Center ซะงั้น จะปิดเครื่อง กดปุ่ม Power ค้าง อ้าว Siri ทักกลับ ฯลฯ แต่อะไรแบบนี้ ใช้ไปซักพักเดี๋ยวคงชิน แต่กำลังคิดว่าอีกสองปี เอา iPhone 12 Pro ของภรรยาให้แม่ใช้ แม่จะงงแค่ไหน 🤣🤣 (แม่ใช้ iPhone 8 Plus อยู่)

พอซื้อเครื่องใหม่มา หลายคนก็ต้องนึกถึงการย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่าไปยังเครื่องใหม่ ซึ่ง Apple ก็ให้ทำง่ายๆ ครับ เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย คือ ให้สองเครื่องต่อกับ WiFi วงเดียวกันก่อน แล้ววางใกล้ๆ กัน เดี๋ยวมันแนะนำให้ย้ายเครื่องให้เอง ข้อเสียของวิธีนี้คือ โคตรช้า 🤣🤣 เพราะความเร็วที่มักจะได้กันจะอยู่ที่ 100-180MB ต่อวินาที iPhone คุณมีข้อมูลอยู่กี่กิกะไบตต์ ก็หารกันไป หลายๆ คนที่ผมรู้จัก โดนไป 3-5 ชั่วโมง แล้วแต่ปริมาณข้อมูล อ้อ! ใครที่ใช้ e-SIM สามารถย้ายได้โคตรง่ายด้วย แต่ ณ ตอนที่ผมเขียนบล็อกนี้อยู่ Apple บอกว่ารองรับแค่ 2 ค่าย คือ AIS และ dtac ครับ … ส่วนผมนั้น เนื่องจากเป็นการอัปเกรดกระโดดจาก iPhone 7 Plus ก็เลยไม่คิดว่าจะถ่ายโอนข้อมูลใดๆ ไป และเพราะมันไม่รองรับ e-SIM ผมก็เลยไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากตรงนี้ด้วย 🤣🤣 แต่กำลังคิดว่าจะไปทำ e-SIM อยู่ เร็วๆ นี้

ภาพของถนนพระราม 2 ที่การจราจรคับคั่ง เต็มไปด้วยรถ ด้านขวาเป็นตอม่อสะพานทางด่วนที่กำลังก่อสร้างอยู่

เพิ่งได้เครื่องมาเนาะ ยังไม่ได้ลองอะไรมากมาย แต่ก็คิดว่าไม่ต้องรีวิวให้เยอะมากหรอก เพราะบล็อกเกอร์ไอทีเยอะแยะ เขารีวิวไปหมดแล้ว บางคนไปพรีวิวถึงที่อเมริกานู่น แต่ก็ยังอยากจะขอพูดถึงเรื่องกล้องดิจิทัลซักนิดนึง คือ ซอฟต์แวร์กล้องของ iOS16 เหมือนจะอัปเกรดไปเยอะพอสมควร เพราะนอกจากโหมดถ่ายภาพแบบต่างๆ อย่างที่เคยมีแล้ว มันก็มีพวกฟิลเตอร์ต่างๆ ให้ใช้แล้ว แต่ในกรณีของภาพถ่ายตอนกลางคืน หรือแสงน้อยๆ เนี่ย ผมว่ามันก็ยังสู้สมาร์ทโฟนฝั่ง Android ไม่ได้ อารมณ์ของฝั่ง Android เขาจะ Process ภาพมาให้เรียบร้อยแล้ว หลายๆ ยี่ห้อ ทำแสงและสีมาได้ดีมากทีเดียว

ภาพระยะใกล้ของแมวสีส้มกำลังนอนขดตัวอยู่บนโซฟา สีในภาพออกโทนจืดๆ

ดูจากรูป T-Rex เจ้าแมวส้มของผม ถ่ายในบ้าน แสงไฟจากหลอก LED กลางบ้านไม่สว่างมาก หากมองเป็นเรื่องของความสว่างสำหรับการทำงาน แต่หากมองแค่การใช้ชีวิตประจำวันแสงมันก็สว่างพอจะทำโน่นนี่นั่นได้ ภาพที่ได้จาก iPhone 14 Pro จะเห็นว่ามันแอบสีจืดๆ ครับ ซึ่งหากต้องการจะให้สีมันออกเป็นแมวส้มจริงๆ ก็ต้องเข้าไปที่แอป Photos เพื่อปรับสีและแสง

ซ้ายมือเป็นภาพแมวส้มที่เห็นจากหน้าจอของ Samsung Galaxy Z Fold 2 เมื่อเปิดความสว่างจอสูงสุด สีจะดูสด ส่วนทางขวาคือภาพของแมวส้มที่ดูผ่านจอ iPhone 14 Pro ที่เปิดสว่างสูงสุดเช่นกัน สีจะดูจืดๆ กว่า แต่สีสันของตัวแมวจะสมจริงกว่า

ตอนแรกผมก็คิดว่าเฮ้ย iPhone 14 Pro ถ่ายรูปออกมาสีจืดว่ะ เพราะดูรูปของ Samsung Galaxy Z fold 2 แล้วสีมันสดกว่า แต่ภรรยาผมก็เตือนสติว่า มันเป็นผลจากหน้าจอหรือเปล่า เพราะจอ Super AMOLED ของ Samsung มันขึ้นชื่อเรื่องสีสดอยู่แล้ว ผมก็เลย เออว่ะ เลยเอาลงมาดูบนจอของโน้ตบุ๊ก ASUS ZenBook 14 Duo UX482 ที่ผม Calibrate ไปแล้ว ผลก็คือ สีจืดทั้งคู่ครับ เพียงแต่รูปของ Samsung Galaxy Z Fold 2 อะ สีส้มมันจะออกส้มกว่าของ iPhone 14 Pro แต่ก็ทำให้สรุปได้ว่าจอ Samsung Galaxy Z Fold 2 มันทำให้สีสันเวอร์วังเกินจริงครับ ส่วนจอของ iPhone 14 Pro นั้น ภาพที่เห็นในจอมัน กับภาพที่ดูบนจอโน้ตบุ๊กที่ Calibrate แล้ว สีใกล้เคียงมาก ฉะนั้นหากมองในแง่ของความสมจริงของสีสัน กล้อง iPhone 14 Pro และจอของ iPhone 14 Pro มันเป๊ะกว่าแฮะ

กล้องดิจิทัล 3 ตัว ที่มีมุมมองครบ ซึ่งมีมาตั้งแต่ iPhone 11 Pro ผมก็เพิ่งได้ใช้จริงๆ จังๆ ตอน iPhone 14 Pro นี่แหละ ภาพที่ได้ก็ประมาณนี้ครับ บอกก่อนเลยว่าทั้งหมดมันเป็น Computational photography คือเขาเอาข้อมูลจากเซ็นเซอร์ของทุกกล้องมาใช้ เพื่อประกอบเป็นรูปขึ้นมานะ ภาพที่ได้ ผมว่าถ้าแสงดีๆ เลย มันก็โอเคเลยนะ มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ได้ลอง iPhone 8 Plus แล้วกล้องมันดีมาก จนทำให้ผละจาก Android ไปได้ไปช่วงนึงแหละ แต่งวดนี้ผมคิดว่าคงไม่ได้ผละจาก Samsung Galaxy Z Fold 2 หรอกนะ เพราะอายุเยอะแล้ว ยังอยากได้จอกางได้ แต่ในเรื่องกล้องถ่ายรูป ผมว่า iPhone 14 Pro นี่อาจจะแทบแทนที่ได้แล้ว

อีกฟีเจอร์นึงที่ได้เล่นในที่สุดก็คือ LiDAR ครับ มันเป็นเซ็นเซอร์สำหรับใช้วัดระยะที่มีเพิ่มเข้ามาตอน iPhone 12 Pro ครับ สำหรับคนทั่วไป เซ็นเซอร์ตัวนี้ช่วยในเรื่องการถ่ายภาพ Portrait ของ iPhone โดยเฉพาะ Night portrait เนื่องจากเซ็นเซอร์ตัวนี้ช่วยให้ข้อมูลเรื่องระยะตื้นลึกได้แม่นยำขึ้น ผมรู้จักเซ็นเซอร์ตัวนี้ตอนปี 2556 ที่ได้ไปชมเทคโนโลยีรถยนต์ของ Ford ที่งาน Computex ในไต้หวัน เขาเอาไว้ใช้กับรถยนต์ขับอัตโนมัติครับ เซ็นเซอร์ LiDAR มันช่วยให้รถยนต์ได้ข้อมูลสภาพแวดล้อมรอบตัวรถแบบสามมิติเลย แต่ตอนนั้นเซ็นเซอร์โคตรใหญ่ เพราะมันต้องสแกนในพื้นที่เยอะมากๆ ปัจจุบันมีแอปหลายแอปเลย ที่ใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์ LiDAR อย่างของ iOS เองก็มีแอปชื่อ Measure ที่เอาไว้วัดระยะทาง หรือแอปจากนักพัฒนาอย่าง magicplan ที่แค่สแกนไปตามจุดต่างๆ ก็สามารถร่างเป็น Floor plan ของห้องออกมาได้เลย

ภาพหน้าจอแอป Measure ที่กำลังวัดความสูงของเครื่องดูดฝุ่น

โดยรวมแล้ว iPhone 14 Pro เป็นยังไงบ้าง?

ก็สมราคาของ Apple เขาแหละ 45,900 บาท สำหรับรุ่น iPhone 14 Pro ความจุ 256GB ที่เรียกว่าเป็นรุ่นกลางๆ ของซีรีส์นี้ ความสามารถหลากหลายมาก และบอกตรงๆ ว่า พอได้หยิบมาใช้ ก็รู้สึกว่า ถ้าไม่นับเรื่องการอ่านการ์ตูนออนไลน์แบบที่ไม่ใช่พวกเว็บตูน ซึ่งจอเล็กๆ มันอ่านไม่สะดวกเท่ากับใช้จอใหญ่ๆ อย่างแท็บเล็ต แต่ก็พกลำบากกว่าพวกจอพับได้อย่าง Samsung Galaxy Z Fold 2 แล้วละก็ iPhone 14 Pro นี่คือ ใช้เป็นเครื่องหลักได้สบายๆ อยู่ แต่ก็อย่างว่า ราคาแรงใช่ย่อยอยู่นะเออ

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Discover more from บล็อกต๊อกต๋อยของนายกาฝาก

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ ผมใช้แค่ดูว่ามีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ผมกี่คน กี่ครั้ง และดูหน้าเว็บไหนบ้าง ถ้าคุณปิดการใช้งาน ผมก็จะไม่เห็นว่ามีคนเข้ามาอ่านบล็อกของผมกี่คน กี่ครั้ง
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า