สัปดาห์นี้ข่าวที่น่าสนใจอันนึงในแวดวงการเทคโนโลยีสำหรับ น่าจะเป็นเรื่องของรายงานจากนิกเคอิที่ว่า Nikon จะถอนตัวออกจากธุรกิจกล้อง SLR (Single-Lens Reflex) ซะที ที่ผมต้องใช้คำว่า ซะที ก็เพราะว่ามันเห็นเค้าลางกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่ Nikon เขาปล่อยกล้อง DSLR รุ่นเรือธงออกมาเมื่อกลางปี 2563 แล้วก็ไม่มีรุ่นใหม่ๆ ใดๆ ออกมาอีก ซึ่งว่ากันว่า Canon ที่เป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องกล้อง DSLR ก็จะตามไปติดๆ ในอีกไม่กี่ปีมานี้ แม้ว่าจะมีข่าวว่าทาง Nikon เองปฏิเสธว่าไม่จริง แต่กระแสก็ค่อนข้างเห็นชัดแล้วละว่า กล้อง Mirrorless น่าจะเป็นเทรนด์ในอนาคตมากกว่า หากต้องการภาพในระดับมืออาชีพมากกว่า DSLR
กระแสขาขึ้นของ Mirrorless
การตัดสินใจของ Nikon ที่จะผละตัวเองออกจากธุรกิจกล้อง DSLR ที่ตัวเองครองเป็นเบอร์ 2 ของตลาดอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนะครับ ถ้าเรามองที่รายได้จากธุรกิจภาพถ่ายของ Nikon อ้างอิงข้อมูลจากนิกเคอิแล้ว กล้อง Mirrorless ของ Nikon นี่สร้างรายได้ให้กับ Nikon ประมาณครึ่งนึงของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่ SLR เนี่ย ทำรายได้ให้แค่ราวๆ 30% เท่านั้น
นอกจากนี้กระแสการใช้กล้อง Mirrorless ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจน คือ ในปี 2020 นี่ นับเป็นครั้งแรกที่ยอดส่งมอบกล้อง Mirrorless มีจำนวนมากกว่ากล้อง DSLR เป็นครั้งแรก (2.93 ล้าน vs 2.37 ล้าน) ตามข้อมูลจาก Japan Imaging and Camera Products Association ทั้งนี้ก็เพราะว่าจุดด้อยของกล้อง Mirrorless เมื่อเทียบกับกล้อง DSLR เริ่มหายไปเพราะพัฒนาการของเทคโนโลยีครับ คืองี้…
Viewfinder ของกล้อง Mirrorless ปกติจะสู้ของ DSLR ไม่ได้ เพราะในขณะที่กล้อง DSLR จะมีกระจกช่วยในการสะท้อนภาพมาที่ Viewfinder เราเรียกช่องมองภาพแบบนี้ว่า Optical viewfinder ในขณะที่ตัวกล้อง Mirrorless ก็ตามชื่อเลย คือ ไม่มีกระจก ดังนั้นก็จะไม่มี Optical viewfinder ครับ พวกกล้อง Mirrorless นี่จะมีสิ่งที่เรียกว่า Electronic viewfinder (EVF) ให้ใช้แทน หรือไม่ก็ดูเฟรมภาพที่เราจะถ่ายจากจอด้านหลังของกล้องเลย

ซึ่งข้อดีของ Optical viewfinder เนี่ยก็คือ ภาพที่ได้เห็น มันจะมีความสมจริงและคมชัดกว่า สีสันตรงกับที่ดวงตาได้เห็นมากกว่า ไม่เกินอาการหน่วงหรือดีเลย์ใดๆ เพราะมันคือภาพจริงๆ ที่สะท้อนเข้าดวงตาของเราเลย ในขณะที่ Electronics viewfinder เนี่ย ภาพมันก็เหมือนกับการที่กล้องมันถ่ายวิดีโอให้เราดูอะครับ ภาพก็จะถูกสร้างขึ้นมาจากเซ็นเซอร์รับภาพ ความสมจริงก็จะไม่เท่า และก็อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องอาการหน่วงหรือดีเลย์ เพราะตัวกล้องจะต้องประมวลผลภาพก่อนเอาขึ้น Viewfinder หรือ จอให้ และถ้าเจอกล้อง Mirrorless ราคาประหยัด อัตราการรีเฟรชของ Viewfinder หรือจอภาพ ก็อาจจะต่ำอีก
แต่พอเทคโนโลยีมันพัฒนาขึ้นไป พวกข้อจำกัดบน Electronics viewfinder นี่ก็ลดลงไปเยอะมาก คือ มันก็อาจจะยังไม่เทียบเท่ากับพวกกล้อง DSLR แหละ โดยเฉพาะพวกกล้อง Mirrorless ราคาไม่แพง แต่มันก็เริ่มที่จะ เพียงพอ สำหรับการใช้งานแล้ว ในทางกลับกัน ตัว Electronics viewfinder หรือจอแสดงผล อาจถูกปรับแต่งให้แสดงผลของภาพที่จะถ่าย ในแบบที่เราจะได้จริงๆ เมื่อถ่ายออกมาด้วย ซึ่งสำหรับหลายๆ คน มันก็สะดวกกว่าการที่จะต้องถ่าย แล้วกลับมาดูภาพอีกรอบ
กล้อง DSLR ตัวใหญ่ ก็ทำให้มีพื้นที่ใส่ฟีเจอร์ได้อัดแน่นกว่า พวกชิปเซ็ตหรือองค์ประกอบใดๆ ที่จะเข้ามาช่วยควบคุมการทำงานของกล้อง เช่น ISO, การชดเชยแสง, White balance อะไรพวกเนี้ย เมื่อก่อนกล้องใหญ่กว่าก็ใส่เซ็นเซอร์ได้ขนาดใหญ่กว่าด้วย แต่ปัจจุบันก็อย่างที่บอกครับ พอเทคโนโลยีมันพัฒนาขึ้นไปมาก กล้อง Mirrorless ที่ขนาดเล็กและเบากว่า มันก็สามารถทำอะไรได้ไม่แพ้พวกกล้อง DSLR ใหญ่ๆ แล้ว ซึ่งพอถึงจุดนึงมันก็ เพียงพอ สำหรับการใช้งาน แล้วแบบนี้ใครเขาจะอยากพกกล้องใหญ่และหนักไปทำงานล่ะ
แบตเตอรี่ก็เช่นกัน ถ้าเทียบกันแล้ว DSLR นี่ก็จะแบตเตอรี่อึดกว่า Mirrorless ครับ แต่พอเทคโนโลยีมันพัฒนาไปมากขึ้น การใช้พลังงานก็น้อยลง แบตเตอรี่ก็มีความจุมากขึ้น สุดท้าย แม้ว่า DSLR จะยังคงแบตเตอรี่อึดกว่า แต่กล้อง Mirrorless ก็จะมีแบตเตอรี่ที่อึด เพียงพอ สำหรับตอบโจทย์การใช้งานนั่นเอง แล้วข้อดีของ Mirrorless อย่างการพกพาที่สะดวกกว่ามากๆ ก็จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเลือกใช้ กล้อง Mirrorless มากกว่า DSLR
พัฒนาการของกล้องสมาร์ทโฟนทำให้ตลาดกล้อง DSLR และ Mirrorless สะเทือน
ออกตัวก่อนเลยว่ายังไงซะกล้องสมาร์ทโฟน มันก็ยังสู้กล้องพวก DSLR และ Mirrorless ไม่ได้ครับ มันยังติดข้อจำกัดทางกายภาพอยู่มาก เอาแค่เรื่องขนาดของเซ็นเซอร์ก็เทียบกันยากแล้ว ถ้านับรวมพวกเลนส์เข้าไปอีก กล้องขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟนคือ ยังห่างไกลกล้อง DSLR หรือ Mirrorless อยู่หลายขุมครับ แต่กล้องสมาร์ทโฟนมันมีความได้เปรียบอยู่ที่พัฒนาการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และด้วยชิปประมวลผลและซอฟต์แวร์ที่ดีกว่ากล้อง DSLR และ Mirrorless อย่างมากๆ พอเอา Computational photography เข้ามาช่วยลดช่องว่างที่เกิดจากความสามารถทางกายภาพแล้ว เราก็จะเห็นว่าในหลายๆ สถานการณ์แล้ว คุณภาพของภาพที่ได้จากกล้องสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะจำพวกเรือธง มันก็สู้พวกกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ราคาไม่แพงได้สบายๆ แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราเทียบสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ระดับเรือธง กับกล้อง DSLR หรือ Mirrorless รุ่นเก่า ราคาประหยัด (แต่ใช่เลยครับ ราคาก็ต่างกันเยอะอยู่) เช่น ภาพด้านล่าง ลองซูมประมาณ 100% ของภาพที่ถ่ายจาก Olympus E-PL7 เลนส์ CCTV หมุนมือ f/8.0 เทียบกับ ภาพจาก Samsung Galaxy Z Fold 2 เลนส์ f/1.8


จะเห็นว่าภาพที่ได้จาก Samsung Galaxy Z Fold 2 เนี่ย จะมีความคมชัดสูงกว่า ในขณะที่ภาพจากกล้อง Mirrorless อย่าง Olympus E-PL7 เนี่ย จะฟุ้งๆ หน่อย เพราะภาพจากกล้องสมาร์ทโฟน มันได้ซอฟต์แวร์มาช่วยปรับความคมชัดของภาพให้โดยอัตโนมัตินั่นแหละ แล้วก็ภาพจากกล้อง Mirrorless ที่ผมถ่าย มันมาจากเลนส์หมุนมือ ผมก็อาจจะปรับไม่เก่ง ภาพก็เลยไม่คม 🤣🤣 แต่ก็ต้องตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่า ภาพจากกล้อง Olympus E-PL7 เนี่ย รูรับแสง f/8.0 นี่ ทำภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ละลายหนักกว่าเลนส์รูรับแสง f/1.8 ของกล้องสมาร์ทโฟนเยอะมากนะครับ ดูความละลายจากภาพด้านล่างได้


และเมื่อคุณภาพของภาพ และความสามารถในการถ่ายภาพที่ได้จากกล้องสมาร์ทโฟนและกล้อง DSLR หรือ Mirrorless มันพัฒนามาจนถึงจุดที่เรียกว่า เพียงพอ ต่อความต้องการของผู้ใช้งานแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผู้คนจะหันไปซื้อสมาร์ทโฟนดีๆ ซักตัว ที่มีกล้องแจ่มๆ ไว้ใช้งาน แทนที่จะซื้อกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ครับ เพราะ…
📷 กล้องสมาร์ทโฟนเมื่อถ่ายภาพออกมาแล้วมันพร้อมใช้กว่ากล้อง DSLR หรือ Mirrorless ครับ เพราะซอฟต์แวร์กล้องถูกออกแบบมาให้ช่วยปรับภาพให้เรียบร้อยแล้ว
📷 สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป กล้องสมาร์ทโฟนถ่ายเสร็จแล้ว สามารถนำไปโพสต์บนโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้เลย แต่พวกกล้อง DSLR หรือ Mirrorless นี่ ถ้ารุ่นดีๆ หน่อยก็สามารถโอนรูปผ่านแอปได้ แต่ถ้ารุ่นเก่าๆ ก็คือต้องไปหาตัวอ่าน SD card มาดึงข้อมูลออกมา แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากขึ้นมาอยู่ดี เมื่อเทียบกับภาพจากกล้องสมาร์ทโฟน
📷 สมาร์ทโฟนคืออะไรที่เราๆ ท่านๆ พกติดตัวอยู่แล้ว ทั้งเล็กและเบากว่ากล้อง DSLR หรือ Mirrorless เยอะ นี่ยังไม่รวมที่ว่าการพกกล้อง DSLR หรือ Mirrorless มันคือการพกอุปกรณ์แยกต่างหาก และยังมีเรื่องของเลนส์อีก
ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายๆ ค่าย ก็พยายามชูจุดขายว่ากล้องสมาร์ทโฟนของตนเองนั้น สามารถถ่ายภาพคุณภาพดีเลิศๆ ได้ ด้วยการให้ช่างภาพมืออาชีพเขามาถ่ายภาพให้ บางทีนี่ไปถึงขั้นถ่ายวิดีโอเลยนะ อย่างเช่น หนังสั้นเรื่อง ผีตามคน ที่ Apple ให้ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ถ่ายทำ ในคลิปด้านล่าง
เมื่อส่วนแบ่งตลาดของผู้ใช้งานที่อาจจะเป็นผู้ใช้งานทั่วไป ที่อยากได้คุณภาพดีประมาณนึง เลยหันมาใช้กล้อง DSLR หรือ Mirrorless โดนสมาร์ทโฟนช่วงชิงไป เพราะ Computational photography นั้นตอบโจทย์ผู้ใช้งานในกลุ่มนี้แล้ว ตลาดสำหรับกล้องสองประเภทนี้มันก็เริ่มเล็กลง แล้วมันยังกินกันเองอีก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราน่าจะได้เห็นกล้อง DSLR หดตัวลง และค่อยๆ ล้มหายตายจากไปนั่นแหละครับ
ภาพประกอบปกบล็อก: Asian travel photo created by tirachardz – www.freepik.com