Home>>รีวิว>>รีวิว 2 บริการปรับปรุงคุณภาพของภาพด้วย AI | VanceAI และ LetsEnhance
ภาพส่วนหนึ่งจากเว็บไซต์ vanceai.com แสดงรายละเอียดค่าบริการในการใช้เว็บไซต์เพื่อปรับปรุงภาพ
รีวิว

รีวิว 2 บริการปรับปรุงคุณภาพของภาพด้วย AI | VanceAI และ LetsEnhance

เมื่อวานผมได้เขียนรีวิวโปรแกรม Gigapixel AI ที่เป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการอัปสเกลของรูปภาพ ทำให้ภาพความละเอียดต่ำมันมีความละเอียดที่สูงขึ้น โดยที่คุณภาพของภาพก็ดีขึ้นตามไปด้วย และเป็นโปรแกรมที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ใช้ได้ทั้งบนระบบปฏิบัติการ Windows และ macOS ทีนี้มีคนถามผมว่า แล้วมันใครอื่นที่ให้บริการเดียวกันไหม ผมก็ลองไปค้นแบบไวๆ ดู ก็พบ 2 บริการที่น่าสนใจ คือ VanceAI และ LetsEnhance ครับ ผมก็เลยขอมารีวิวแบบไวๆ ให้ได้อ่านกันตรงนี้ละกัน

VanceAI.com

เว็บแรกคือ VanceAI ซึ่งมีค่าบริการคือ $24.99 สำหรับ 600 เครดิต โดยเครดิตใช้ได้ใน 3 เดือน และสำหรับคนใช้เยอะๆ ก็สามารถจ่ายแบบรายเดือนได้ เดือนละ $9.99 หากชำระเป็นรายเดือน แต่หากชำระเป็นรายปี ก็จะเหลือเดือนละ $4.99 โดยจะได้ 200 เครดิตต่อเดือน ที่เขาใช้คำว่าเครดิตก็เพราะ มันไม่ได้หมายความว่าการปรับปรุงคุณภาพ 1 รูป เท่ากับ 1 เครดิต ครับ แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะปรับปรุงคุณภาพของรูปยังไงบ้าง

ภาพส่วนหนึ่งจากเว็บไซต์ vanceai.com แสดงรายละเอียดค่าบริการในการใช้เว็บไซต์เพื่อปรับปรุงภาพ

ตัว Workflow ที่เราจะได้จาก VanceAI นี่ค่อนข้างเยอะมากครับ เรียกว่ามีแทบทุกอย่างที่จำเป็นเกี่ยวกับปรับปรุงคุณภาพของรูปภาพเลย ผิดกับโปรแกรมของทาง Topaz Labs ที่จะมีจำกัดแค่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งในโปรแกรมเดียวของเขา (แต่โปรแกรมของเขาจะทำตัวเป็นปลั๊กอินใน Adobe Photoshop เพื่อผสานรวมเป็น Workflow เดียวกับโปรแกรมที่เราใช้อยู่ได้เลย หรือจะทำงานแบบ Standalone ก็ได้) ใครอยากลอง สามารถไปลองฟรีก่อนได้ เขาให้ใช้ 3 เครดิต โดยภาพที่ดาวน์โหลดจะมีลายน้ำของเว็บ ซึ่งก็เพียงพอจะได้ลองอะไรบ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้ว

หน้าจอเว็บไซต์ vanceai.com ในส่วนของ AI Workspace ที่ให้เราเลือกได้ว่าจะปรับปรุงคุณภาพของรูปอย่างไรบ้าง

การทำงานคือ มันจะมี Workspace ให้เราอัปโหลดรูปขึ้นไป แล้วเราก็จะสามารถเพิ่ม “ขั้นตอน” ในการปรับปรุงรูปเข้าไปใน Workflow ได้ เช่น ผมอาจจะอยากให้รีทัชภาพบุคคลก่อน แล้วก็ใช้ AI Photo Enhancer เพื่อเพิ่มคุณภาพของรูป และปิดท้ายด้วยการอัปสเกลรูปภาพ เป็นต้น จากนั้นคลิก Start to Process ทีเดียวเลย ทุกๆ ขั้นตอน (Step) ที่เราเพิ่มเข้าไป ก็จะหักเครดิตเราไปครับ เช่น ผมใช้ AI Image Enlarger นี่ก็โดนไป 1 เครดิต แต่ถ้าผมใช้ AI Photo Retoucher ตามด้วย AI Photo Enhancer และปิดท้ายด้วย AI Image Enlarger ก็จะโดนไป 1.6 เครดิต เป็นต้น

เพื่อให้เห็นว่ามันทำงานได้ดีแค่ไหน ผมก็เลยเลือกใช้ภาพเดียวกับที่ผมได้ใช้กับโปรแกรม Gigapixel ก็แล้วกันครับ แต่ว่าด้วยความตอนแรกผมยังงงๆ กับเครื่องมืออยู่ ก็เลยลืมอัปสเกลรูปให้เป็นไซส์ความละเอียดระดับสิบล้านพิกเซลนะ ก็เลยได้ค่า Default ของเว็บมา คือ 1.2 ล้านพิกเซลแทน แต่ก็เชื่อว่าทำให้เราได้เห็นอะไรบ้างอย่างบ้างแล้วล่ะ

ภาพต้นฉบับที่ความละเอียด 3 แสนพิกเซลภาพ
เทียบภาพต้นฉบับ กับ ภาพที่ใช้เว็บ VanceAI ปรับปรุงคุณภาพรูปแล้ว

ก็ต้องเรียกว่าเมื่อใช้ AI Image Enlarger ของ VanceAI แล้ว ภาพก็ออกมาคุณภาพดีขึ้นแบบชัดเจนเลยแหละครับ แต่ถ้าเทียบกับ Gigapixel AI ล่ะ จะเป็นยังไงบ้าง? ลองดูรูปด้านล่างครับ ซ้ายมือจะเป็นภาพที่อัปสเกลโดย VanceAI (1.2 ล้านพิกเซล) ส่วนขวามือคือภาพที่อัปสเกลโดย Gigapixel AI ผมลองปรับเหลือ 1.2 ล้านพิกเซลเท่ากัน จะได้ไม่เอาเปรียบกัน

ภาพหลังจากใช้บริการของ VanceAI ในการอัปสเกลภาพขึ้นมาเป็น 1.2 ล้านพิกเซล
เทียบภาพที่ใช้เว็บ VanceAI ปรับปรุงคุณภาพรูป กับภาพที่ใช้ Gigapixel AI ปรับปรุงคุณภาพรูป

เราจะสังเกตได้ 2 จุดชัดเจนคือ ตรงปากและเสื้อยืดของผม ภาพจาก VanceAI มันจะมีความคมเข้มที่สูงจนเกินพอดีครับ คือ ถ้าดูเดี่ยวๆ อาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้าเราเทียบกับภาพจาก Gigapixel AI แล้ว จะเห็นว่ามันมีความเป็นธรรมชาติ ดูเนียนกว่าเยอะ อีกจุดนึงที่สังเกตได้คือ ตรงต้นไม้ด้านล่าง ที่ภาพจาก VanceAI รายละเอียดจะสูญหายไปเยอะ ต้นไม้กลายเป็นปื้นๆ สีเขียวไป แต่ภาพจาก Gigapixel AI เราจะเห็นได้ว่ารายละเอียดของต้นไม้ยังคงเอาไว้ได้ดี

จุดเด่นของ VanceAI คือ ความสามารถที่ทำได้หลายอย่าง และสามารถ Process ทุกสเต็ปที่ต้องการปรับปรุงภาพได้ในตัวมันเองเลย แต่ข้อจำกัดก็คือ ยิ่ง Process เยอะก็ยิ่งต้องใช้เครดิตเยอะ (หรือก็คือ เสียตังค์เยอะ) โดยผมประเมินว่ารูปนึงเนี่ย จะใช้ประมาณ 1-3 เครดิต แล้วแต่ว่าเราจะมี Process เยอะแค่ไหน โดยคุณภาพของภาพที่ได้ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่โอเคนะ แต่ถ้าเทียบกับ Gigapixel AI ในแง่ของการเพิ่มความละเอียดของภาพแล้ว ยังถือว่าสู้ไม่ได้ครับ

LetsEnhance.io

เว็บนี้มีค่าเครดิตแพงกว่า VanceAI ครับ คือ 100 เครดิต นี่คิด $12 ต่อเดือนถ้าชำระเป็นรายเดือน แต่ถ้าชำระเป็นรายปีจะคิด $9 ต่อเดือน แต่ใจดีกว่าตรงที่มันบอกชัดเจนเลยว่าเดือนไหนใช้เครดิตไม่หมด ก็ยกยอดไปใช้เดือนถัดไปได้ โดยสะสมได้นานสูงสุด 6 เดือน และมีแพ็กเกจสำหรับผู้ใช้งานระดับองค์กร กับการซื้อเฉพาะเครดิต (ไม่มีวันหมดอายุ) ก็ได้ ซึ่งถือว่ามีแพ็กเกจที่ยืดหยุ่นกว่าของ VanceAI และใจดีกว่าด้วย เพราะให้ลองใช้บริการได้ฟรี 10 เครดิต แต่ภาพที่ดาวน์โหลดก็จะมีลายน้ำของเว็บ

หน้าเว็บไซต์ letsenhance.io ในส่วนของการแสดงค่าใช้บริการเว็บไซต์

ในแง่ของความสามารถ บริการของ Let’s Enhance นี่จะค่อนข้างเรียบง่ายกว่า ตัวเลือกในการปรับปรุงคุณภาพของภาพมีน้อยกว่า จะค่อนข้างไปทางคล้ายๆ กับ Gigapixel AI ครับ คือ เลือกรูปแบบการปรับปรุง เน้นไปทางการเพิ่มความละเอียดของภาพ แต่มีส่วนของ AI ที่เข้ามาช่วยปรับแสง สี และโทนของภาพได้ จุดเด่นอีกอย่างคือ เขามีฟีเจอร์ Enhance face details คล้ายๆ กับ Face recovery ของ Gigapixel AI เลย ผมเลยค่อนข้างจะคาดหวังว่ามันจะทำได้ดีคล้ายๆ กับ Gigapixel AI นะ

หน้า Workspace ของเว็บ letsenhance.io ที่

และเพื่อไม่ให้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน ผมก็เอารูปจุดชมวิวภูลังกาของผม มาอัปสเกลเป็น 1.2 ล้านพิกเซลละกัน ออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่เปิดใช้ฟีเจอร์พวก Light AI, Tone enhance และ Color enhance เลยนะ เน้นไปที่การอัปสเกลอย่างเดียวพอครับ ผลที่ได้ก็ตามรูปด้านล่าง

ภาพต้นฉบับที่ความละเอียด 3 แสนพิกเซลภาพที่อัปสเกลเป็น 1.2 ล้านพิกเซลด้วยบริการของ letsenhance.io
เทียบภาพต้นฉบับ กับ ภาพที่ใช้เว็บ Let’s Enhance ปรับปรุงคุณภาพรูปแล้ว

ตามคาดครับ เมื่อมีฟีเจอร์ให้ปรับปรุงคุณภาพของใบหน้าโดยเฉพาะ ใบหน้าผมหลังจากอัปสเกลแล้วก็ดูเป็นธรรมชาติกว่าของ VanceAI เยอะเลย ภาพมีความชัดเจนขึ้น โดยไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพไป แต่ผมตั้งข้อสังเกตว่าภาพมีความเหลืองขึ้นเล็กน้อย ต้นไม้สีเขียวกลายเป็นมีสีเหลืองเพิ่มเข้ามา เสื้อยืดของผมสีเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ผมยังรู้สึกว่า เอ๊ะ รูปยังเหมือนแอบเบลอๆ อยู่นะ

ภาพที่อัปสเกลเป็น 1.2 ล้านพิกเซลด้วยบริการของ letsenhance.ioภาพที่อัปสเกลเป็น 1.2 ล้านพิกเซลด้วยโปรแกรม Gigapixel AI
เทียบภาพที่ใช้เว็บ Let’s Enhance ปรับปรุงคุณภาพรูป กับภาพที่ใช้ Gigapixel AI ปรับปรุงคุณภาพรูป

ลองเอารูปที่อัปสเกลโดย Let’s Enhance มาเทียบกับ Gigapixel AI ดูครับ ต้องยอมรับว่า Let’s Enhance นี่ทำออกมาได้ดี ภาพออกมาดูเป็นธรรมชาติ แต่ตามคาดเลย พอเอามาเทียบกับภาพที่ได้จาก Gigapixel AI แล้ว ภาพจากโปรแกรมGigapixel AI ดูคมชัดกว่า สีสันไม่เพี้ยน แต่ก็สังเกตเห็นข้อจำกัดของ Gigapixel AI เลย นั่นก็คือ มันพยายามทำภาพให้คมชัดมากไป คือ แบ็กกราวด์ส่วนที่เป็นต้นไม้ ภาพต้นฉบับมันเบลอนิดหน่อยเพราะเป็นเรื่องของโฟกัสกล้อง ซึ่งออกแนวหน้าชัด หลังเบลอนิดๆ แต่ Gigapixel AI นี่ ทำให้มันชัดหมดเลย 🤣🤣 อันนี้แล้วแต่ใครจะชอบเลยแฮะ

ภาพของผู้ชายผมสั้น สวมแว่น ใส่แจ็กเก็ต สะพายเป้ ยืนอยู่หน้าประตูวัดญี่ปุ่นแห่งหนึ่งภาพที่ถูกอัปสเกลโดย
เทียบภาพต้นฉบับ กับ ภาพที่ใช้เว็บ Let’s Enhance ปรับปรุงคุณภาพรูปแล้ว

ไหนๆ เขาก็ให้เครดิตมาเยอะ เลยลองเอามาอัปสเกลกับอีกรูป ที่ต้นฉบับความละเอียด 6 แสนพิกเซล อัปให้เพิ่มขึ้น 4 เท่า (มากกว่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นแพ็กเกจฟรีที่มีข้อจำกัด) เรียกว่าคุณภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก

ภาพที่ถูกอัปสเกลโดย letsenhance.io แล้วภาพความละเอียดสูง หลังจากอัปสเกลเป็น 16 ล้านพิกเซลด้วยโปรแกรม Gigapixel AI แล้ว
เทียบภาพที่ใช้เว็บ Let’s Enhance ปรับปรุงคุณภาพรูป กับภาพที่ใช้ Gigapixel AI ปรับปรุงคุณภาพรูป

เอามาเทียบกับภาพที่อัปสเกลด้วยโปรแกรม Gigapixel AI แล้ว ก็เช่นเคย ภาพจากโปรแกรม Gigapixel AI มีรายละเอียดค่อนข้างชัดเจนกว่ามาก สังเกตจากรอยยับของเสื้อผ้าได้ครับ มันเห็นได้ชัดเจนกว่า และสีสันก็ตรงกับต้นฉบับมากกว่า ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมภาพจาก Let’s Enhance มันจะอมเหลืองตลอดเลยแฮะ แต่สิ่งที่ Let’s Enhance ทำได้ดีกว่าก็จะมีตรงต้นไม้ด้านซ้ายมือของรูป ที่ใบไม้ไม่หายไปไหน ซึ่งผิดกับของ Gigapixel AI ที่ใบไม้หายไปเยอะอยู่

ข้อดีข้อเสียของการใช้บริการผ่านเว็บแบบนี้คือ?

ด้วยความที่การประมวลผลเพื่อเพิ่มคุณภาพของภาพมันใช้ AI เข้าช่วย คอมพิวเตอร์ที่จะใช้ประมวลผลก็ต้องมีประสิทธิภาพสูงพอตัวนะครับ อย่างที่บอก ขนาดคอมพิวเตอร์ของผมมันก็ไม่ได้แย่นะ Intel Core i7-1165G7 การ์ดจอ GeForce RTX 2060 แรม 32GB มันก็ยังทำให้ YouTube ที่ดูอยู่กระตุกได้เลยนะ ปกติผมใช้แรมอย่างมากก็ 16-17GB เท่านั้น แต่พอใช้ Gigapixel AI แล้ว รู้สึกว่าแรมที่ซื้อมามันคุ้มค่า เพราะมันซัดแรมไปได้ถึง 22-25GB เลยทีเดียว ในระหว่างการใช้งาน ดังนั้นการใช้บริการผ่านเว็บไซต์แบบนี้ มันช่วยทำให้เราทำงานเหมือนกันได้ โดยใช้คอมพิวเตอร์ที่ประสิทธิภาพต่ำกว่ามากๆ จริงๆ ต้องบอกว่า ทำให้เราใช้คอมพิวเตอร์สเปกง่อยๆ แค่ไหนก็ได้ ขอให้ต่อเน็ตเปิดเว็บได้อะ นอกจากนี้ถ้าเราแค่จำเป็นต้องใช้แบบเป็นครั้งคราว การใช้ผ่านเว็บที่มีแพ็กเกจแบบ Pay as you go มันจะประหยัดกว่ามากครับ แถมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เขาเพิ่มเข้ามาก็พร้อมได้ใช้เลย (ข้อดีของบริการจำพวก Subscription ไม่ว่าจะผ่านเว็บ หรือ เป็นโปรแกรมแบบติดตั้งบนเครื่องก็ตาม)

ข้อจำกัดของการใช้บริการผ่านเว็บพวกนี้คือ ค่าใช้จ่ายแม้จะไม่แพงมากเมื่อคิดต่อเดือน แต่ใช้ไปนานๆ ค่าใช้จ่ายก็บวมกว่าการซื้อโปรแกรมแบบขายขาด (Perpetual) มากครับ Gigapixel AI แม้ว่าจะไม่ได้อัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ๆ ถ้าไม่จ่ายตังค์เพิ่ม แต่มันก็ยังใช้ทำงานได้เรื่อยๆ ถ้าเราคิดว่าฟีเจอร์ที่ใช้อยู่มันเพียงพอ คนที่ทำงานแบบจำนวนรูปที่ต้องปรับปรุงมีเยอะๆ มากๆ ใช้แบบนี้มันก็คุ้มกว่า และโปรแกรมอย่าง Gigapixel AI นี่ก็สามารถใช้งานเป็นปลั๊กอินบนโปรแกรมอย่าง Adobe Photoshop เพื่อผสานมันเข้ากับ Workflow ในการทำงานของเราได้ด้วย

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ ผมใช้แค่ดูว่ามีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ผมกี่คน กี่ครั้ง และดูหน้าเว็บไหนบ้าง ถ้าคุณปิดการใช้งาน ผมก็จะไม่เห็นว่ามีคนเข้ามาอ่านบล็อกของผมกี่คน กี่ครั้ง
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า