เวลาเดินทาง ในหลายๆ กรณี ผมก็อยากจะทำตัวให้ Lean ที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ สมัยก่อนนี่จะไปไหนมาไหนที พกอะแดปเตอร์ สายชาร์จ โน่นนี่นั่น เยอะแยะไปหมด รุงรังมาก แต่สมัยนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาไปเยอะ สายชาร์จก็เริ่มเป็นมาตรฐานมากขึ้น ก็พยายามพกให้น้อยที่สุดได้แหละ และสายชาร์จ Innergie MagiCable USB-C ตัวนี้ ค่อนข้างโอเคเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเอามาใช้ร่วมกับ Innergie C6 Duo (Fold) ที่ผมรีวิวไปเมื่อวันก่อน
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
สายชาร์จ Innergie MagiCable USB-C เส้นนี้ ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มาพร้อมกับอะแดปเตอร์และสายชาร์จอีกจำนวนนึง ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยรีวิวให้ได้อ่านกันนะครับ อันนี้เริ่มติดๆ กันสองชิ้นก่อน เพราะพอดีรีวิวไปพร้อมกัน 🤣🤣
แกะกล่องของ Innergie MagiCable USB-C ตัวนี้ สเปกบอกว่าเป็นสายความยาว 1 เมตร ลองวัดดูแล้ว ก็ได้ความยาวตามนั้นจริง ลักษณะสายคือเป็นแบบไนล่อนถัก เรียกสีไม่ถูกเหมือนกันว่าสีอะไร คิดว่าถ้าไม่ใช่สีบรอนซ์ ก็สีเบจ นี่แหละ น่าจะใกล้เคียง

ผมตั้งข้อสังเกตถึงขนาดของสายเคเบิล ที่ค่อนข้างหนานิดนึง เมื่อเทียบกับพวกสายชาร์จทั่วไป แต่ก็เป็นความหนาที่พบได้เวลาเราเจอกับพวกสายชาร์จจำพวกไนล่อนถัก ที่รองรับกระแสไฟสูงๆ แบบ 3A ขึ้นไป ตัวนี้สายดูแข็งๆ ด้วยครับ เข้าใจว่าเพื่อป้องกันไม่ให้สายเกิดอาการขี้หักในได้ง่ายๆ เวลาใช้งาน เราสามารถดัดสายได้ในระดับนึงเลย ตัวไนล่อนถัก ถักแบบค่อนข้างถี่ทีเดียว


สายที่ผมได้มารีวิวนี้เป็นแบบ USB-C to USB-C ครับ หัว USB-C นี่เป็นอลูมิเนียม และปลายหัวเป็นโลหะแบบชิ้นเดียว ดูดีกว่าพวกสายราคาถูกๆ ที่ใช้ม้วนเหล็กเอา มันจะเห็นรอยเชื่อม มีชื่อยี่ห้อสกรีนเอาไว้ด้วย ส่วนที่เชื่อมระหว่างหัว USB-C กับตัวสายเคเบิล มีการทำพลาสติกแข็งหุ้มไว้นิดนึง เพราะบริเวณนี้มักจะเป็นจุดที่สายชำรุดบ่อยๆ

ตามสเปกแล้วสายเคเบิล Innergie MagiCable USB-C เส้นนี้ก็จะต้องสามารถรองรับกระแสไฟได้สูงสุด 3A เลย และเมื่อมาลองทดสอบ กับอะแดปเตอร์ Innergie C6 Duo (Fold) ซึ่งจ่ายไฟแบบชาร์จอุปกรณ์เดียว และผมใช้ชาร์จโน้ตบุ๊กแบบ 60 วัตต์ มันก็รับแรงดันไฟระดับ 20V 3A ได้สบายๆ ครับ

อีกเรื่องนึงที่เป็นฟีเจอร์ของสายชาร์จ Innergie MagiCable USB-C ตัวนี้ก็คือ มันเป็น Data cable ด้วย สามารถใช้ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ได้ ซึ่งตามสเปกมันบอกว่ารองรับ USB 3.1 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ USB 3.2 Gen 2 ที่ให้แบนด์วิธ 10Gbps นั่นเอง ผมก็เลยเอามาลองทดสอบสองแบบครับ คือ ถ่ายโอนข้อมูลขนาด 2.7GB ด้วย Windows Explorer กับใช้ CrystalDiskMark ลองวัดความเร็วของ External SSD (WD My Passport SSD ตัวปี 2020) ซะหน่อยครับ


ตอนแรกที่ผมทดสอบถ่ายโอนข้อมูลด้วย Windows Explorer ผลที่ได้คือ ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 550MB/s หรืออยู่ที่ภายใต้ลิมิตของ USB 3.2 Gen 1 แบนด์วิธ 5Gbps เท่านั้น ทั้งๆ ที่ตัว External SSD ของผม มันรองรับ USB 3.2 Gen 2 (10Gbps) นึกว่าเฮ้ย สายมันไม่ได้ตามสเปกแล้ว แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ เพราะในการใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อ External SSD ของผมมันถูกใช้งานไปเยอะแล้ว มันก็อาจจะไม่สามารถทำ Sequential write ได้ ความเร็วมันก็ย่อมตกสิ ดังนั้น เลยเอามาทดสอบด้วย CrystalDiskMark 8.0.4 x64 อีกซักที ผลที่ได้ก็แสดงให้เห็นว่า สาย Innergie MagiCable USB-C ตัวนี้ สามารถรองรับการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วมาตรฐาน USB 3.2 Gen 2 แบนด์วิธ 10Gbps ได้ตามสเปกครับ
บทสรุปการรีวิวสาย Innergie MagiCable USB-C
เป็นสายเคเบิลที่ดีครับ คุณภาพดีเลยแหละ สายไม่น่าจะชำรุดเสียหายได้ง่าย แต่อาจจะแอบรำคาญตอนเก็บสาย เพราะว่าสายมันค่อนข้างแข็ง ต้องม้วนเก็บมากกว่าที่จะพับทบๆ กัน มันรองรับกระแสไฟ 3A ได้ ทำให้เอามาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ให้กับโน้ตบุ๊กแบบ 60-65 วัตต์ได้สบายๆ ครับ และมันก็ทำหน้าที่เป็น Data cable ถ่ายโอนข้อมูลได้ด้วย โดยรองรับถึง USB 3.2 Gen 2 แบนด์วิธ 10Gbps สบายๆ แอบเสียดายแค่ตรงที่ สายมันยาวแค่ 1 เมตรครั เข้าใจว่าทำออกมาเพื่อใช้กับสมาร์ทโฟนเป็นหลักมากกว่าจะเอาไปใช้กับโน้ตบุ๊ก เพราะถ้าจะเอามาใช้กับโน้ตบุ๊กอะ ระยะทางแค่ 1 เมตร มันสั้นไป