เอาจริงๆ ก็แอบแปลกใจเหมือนกันที่ผมไปคาเฟ่ที่นั่นที่นี่ไกลๆ บ้านมาบ่อยครั้ง แต่ดั๊นไม่เคยได้รู้เลยว่าไม่ไกลจากบ้านมาก (แต่ก็ 10 กิโลเมตรนะ) มีคาเฟ่สไตล์สวนอยู่ แถมไม่ใช่คาเฟ่เล็กๆ ด้วยนะ เป็นคาเฟ่ที่ใหญ่เอาเรื่องเลย เพราะเขามีความต้องการที่จะอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวที่นับวันจะร่อยหรอลงเรื่อยๆ เอาไว้ เอาจริงๆ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยแหละ ว่าย่านจอมทองนี่ เขามีสวนลิ้นจี่กันด้วย วันนี้วันหยุด เลยถือโอกาสแวะไปเยือนซักหน่อยครับ
การเดินทางมาที่ Natura Garden Cafe นี่ไม่ยาก และเข้าได้จากหลายทางอยู่ ถ้าจะให้เข้ามาง่ายสุดก็คือ มาทางเส้นถนนพระราม 2 มุ่งหน้ามาทางดาวคะนอง แล้วเข้ามาที่ซอยพระราม 2 28 เลี้ยวขวาที่แยก 18 ตรงมาราวๆ 300 เมตร ก็จะเจอร้านแล้วครับ
ในร้านจะมีที่จอดรถได้ราวๆ 10 คัน แต่ไม่ต้องห่วงนะ เพราะถ้าที่จอดรถเต็ม ก็ไปจอดฝั่งตรงข้ามได้ครับ จอดได้หลายสิบคันเลย แต่จะมีค่าบริการจอดรถ 30 บาท ซึ่งหาเรารับประทานอาหารในร้านเกิน 500 บาท (ซึ่งเกินได้ไม่ยากเลย หากไปกันซัก 2-3 คน) ก็เอาบัตรจอดรถนั่นแหละ ไปยื่นให้พนักงานตอนเรียกคิดเงิน เขาจะเอา 30 บาทนี้มาเป็นส่วนลดค่าอาหารครับ


จะเข้ามาที่ร้านก็ต้องเดินกันนิดนึง เพราะพื้นที่เขาใหญ่ครับ คือ เขาผสมผสานเอาร้านอาหารและคาเฟ่ไปอยู่ในสวนที่เป็นสวนจริงๆ เลย บรรยากาศร่มรื่นมาก ชนิดที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย เมื่อเทียบกับตอนที่เราขับรถเข้ามาในซอยพระราม 2 28 ด้วยความที่ร้านอยู่ด้านในซอยแบบสุดๆ และพื้นที่ของสวนค่อนข้างกว้างขวางมาก (เขาว่าเป็นพื้นที่มรดกจากบรรพบุรุษ) เราเลยรู้สึกเหมือนหลุดมาอยู่นอกเมืองยังไงยังงั้น ทั้งๆ ที่นี่คือกลางเมืองประมาณนึงเลยนะ

ด้านในนั้นร้านจะแบ่งออกเป็นสองโซนนะ โซนด้านนอกจะเป็นร้านอาหาร มี 2 อาคารหลักๆ แบ่งด้วยถนนเล็กๆ สำหรับมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่าน ส่วนโซนด้านใน ก็จะเป็นพื้นที่กว้างๆ มีคาเฟ่ให้สั่งเครื่องดื่มและเค้กมารับประทานที่โต๊ะในลานกว้างได้

โซนร้านอาหารด้านนอก

ด้วยความที่ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ประกอบกับมาตอนประมาณบ่ายโมง เราก็ลงเอยด้วยการนั่งทานอาหารครับ เมนูที่นี่มีความหลากหลายประมาณนึง และมีอาหารไทยอร่อยๆ ให้เลือกเยอะอยู่ วัตถุดิบที่ใช้ ตลอดไปจนถึงรสชาติอาหาร ถือว่าดีงามครับ อร่อย และสมกับราคาดี ด้วยความที่ไปกันแค่สองคน ผมและภรรยา ก็เลยได้สั่งอาหารแค่ไม่กี่อย่าง ก็มี สลัดไก่ย่างซอสมาโยจิ้มแจ่ว (190 บาท) ผักกูดผัดน้ำมันหอย (150 บาท) เนื้อโคขุนย่าง (310 บาท) แล้วก็เนื้อปูผัดพริกขี้หนูสวน (420 บาท)
ถามว่าราคาแพงไหม อันนี้ผมว่าแล้วแต่ว่ามุมมองของเราเป็นอย่างไรครับ สำหรับผม ผมมองว่าราคาก็สมน้ำสมเนื้อกับรสชาติและคุณภาพของวัตถุดิบ และการนำเสนอของอาหาร คือมันไม่ได้ราคาถูกแต่ก็ไม่ได้ราคาแพงเวอร์ แต่ถ้าจะต้องเปรียบเทียบแบบไวๆ ก็คือ ทุกๆ อาหารที่สั่ง 1-2 จาน ก็จะเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ 1 วัน (คิดที่ 331 บาท สำหรับค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ) ประมาณนั้นครับ






ทานอิ่มแล้ว ใครอยากลองชิมขนมไทยๆ ก็สามารถซื้อขนมใส่ไส้ ข้าวเหนียวสังขยา มาทานได้นะครับ ค่อนข้างอร่อยดีอยู่ ราคาก็ประมาณนึงแหละ จำราคาไม่ได้ ภรรยาเป็นคนซื้อมาทาน รูปก็ลืมถ่าย เพราะหิว เลยซัดซะเรียบก่อนที่จะนึกได้ว่าควรถ่ายรูป 🤣🤣


น้ำที่สั่งมาก็มี Butterfly Yuzu (140 บาท) ที่เป็นน้ำอัญชัญโซดา มีซอสส้มยูซุพร้อมเนื้อส้มอยู่ที่ก้นให้เอาหลอดกระดาษที่ให้มานี่แหละ ค้นๆ ให้มันผสมเข้ากับอัญชัญโซดา อีกแก้วคือ Golden Thai Tea (120 บาท) ก็เป็นชาไทยที่รสชาติไม่หวานมาก มีฟองนมลอยอยู่ด้านบน และมีการใส่ทองหยอด 2 ลูก กับฝอยทองมาให้ทานแกล้มด้วย (ชาไทยไม่ค่อยหวานมาก แต่อิทองหยอดกับฝอยทองเนี่ย แม้จะหวานน้อยแต่ก็หวานนะ 🤣🤣)







ทานเสร็จแล้ว ก็ออกมาเที่ยวชมสวนได้นะครับ มีมุมให้ถ่ายรูปได้ประมาณนึง แต่ถ้ามีลูกค้ามาเยอะ ก็จะหามุมถ่ายยากหน่อย แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบวิว ชอบมุมประมาณไหน แต่สำหรับคนที่ชอบชื่นชมธรรมชาติ ก็แค่เดินชมก็เหลือเฟือแล้วล่ะ ที่นี่จุดเด่นที่คนที่มาจะชอบมาถ่ายรูปด้วย น่าจะเป็นต้นเคราฤๅษีครับ มีเยอะมาก
ด้านหลังของที่นี่ ก็ติดคลองครับ เป็นโซนคาเฟ่ ก็จะมีเครื่องดื่มและเค้กจำหน่าย ราคาเค้กก็ตกชิ้นละร้อยกว่าบาทขึ้นไป มีหลายรสให้เลือก มีพื้นที่นั่งทานอยู่ค่อนข้างเยอะ และวันหยุดคนก็ค่อนข้างเยอะเช่นกัน ก็จะหามุมนั่งทานหรือมุมถ่ายรูปยากหน่อยครับ ด้านหลังที่ติดคลองก็พอจะเดินดูได้ มีเรือมาจอดด้วยนะ แต่ไม่รู้เรืออะไรแฮะ




โดยรวมแล้ว ถือว่าเป็นคาเฟ่สไตล์สวนที่มีความร่มรื่น อาหารอร่อย เครื่องดื่มถือว่าดีใช้ได้เลย มีที่จอดรถมากพอ แม้จะมีลูกค้ามาเยอะๆ เดินทางมาก็ไม่ยาก น่าแวะมาเที่ยวแหละ เพียงแต่ว่าพอมาที่นี่แล้ว มันก็ไม่มีที่อื่นให้ไปเที่ยวต่อเป็นคอมโบซักเท่าไหร่นะ ถ้าแบบว่าหยุดแล้วอยากจะมาเที่ยวเต็มวัน ก็แนะนำให้เล็งหาที่เที่ยวที่อื่นไว้ต่อคอมโบด้วยละกัน