จักรยานไฟฟ้าตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมใช้กันครับ ในหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นี่ก็มีกันหลายบ้านเลย ข้างบ้านผมขนาบซ้ายขวา รวมถึงบ้านผมเองก็มีใช้กันครบ สำหรับผมเองก็เป็นคันที่สองแล้วด้วย (คันแรกยกให้น้องชายไปแล้ว เพราะตอบโจทย์ไม่สุด เดี๋ยวคันล่าสุดจะมารีวิวให้อีกที) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ทาง MONOWHEEL เขาเปิดตัวจำหน่าย Ninebot eMOPED A35 ที่เป็นจักยานไฟฟ้าจากค่ายเดียวกับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ผมใช้เป็นยานพาหนะหลักในปัจจุบัน โดยมีราคาค่าตัวแอบสูงถึง 42,900 บาท ซึ่งทำให้ผมอยากรู้ว่า มันจะต่างจากพวกจักรยานไฟฟ้าราคา 7,900 บาท หรือ 19,900 บาท ที่ผมซื้อมาใช้ยังไง มาหาคำตอบจากประสบการณ์ทดลองใช้งานของผมได้ในบล็อกตอนนี้กันครับ
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
จักรยานไฟฟ้า Ninebot eMOPED A35 ที่รีวิวครั้งนี้ ได้รับความเอื้อเฟื้อจากทาง MONOWHEEL ให้ยืมมารีวิว และผมก็ได้ลองขี่มาราวๆ หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ แล้ว โดยได้ทั้งใช้งานจริงๆ และขี่เพื่อทดสอบประกอบการรีวิวด้วย ในบทความนี้ก็คือการบอกเล่าประสบการณ์จากการใช้งานทั้งหมด โดยผมอาจจะมีเทียบกับประสบการณ์ในการขี่จักรยานไฟฟ้าของจีนทั้งสองรุ่นที่ผมเคยผ่านมาด้วยครับ
ตอนแรกทางร้านถามผมว่า จะให้ส่งเป็นกล่องไปไหม แล้วประกอบเองนิดหน่อย แต่มันจะต้องมีประแจหกเหลี่ยม และประแจแบบบล็อก เพื่อใช้ประกอบด้วย แต่ด้วยความที่ผมก็ไม่ได้ถนัดงานช่างมาก และอุปกรณ์อาจจะไม่ครบ ก็เลยขอรบกวนให้เขาช่วยประกอบให้เสร็จ แล้วส่งมาเลยดีกว่า ซึ่งก็จัดส่งมาได้เรียบ เนียนดีมากครับ
ถ้าดูจากรูปด้านล่างนี้ เราจะเห็นได้ว่าจักรยานไฟฟ้า Ninebot eMOPED A35 เนี่ย ดีไซน์มันคือ รถจักรยานยนต์ มากกว่า รถจักรยาน เฉยๆ ซะอีก สิ่งเดียวที่ทำให้มันยังดูเป็นจักรยานคือ มันมีคันถีบครับ ซึ่งมันมีเพื่อให้มีจริงๆ เหมือนกับจักรยานจีนที่ผมเคยรีวิวไปนั่นแหละ เขาต้องทำแบบนี้เพราะที่ประเทศจีนอะ ภาษีของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามันแพงกว่าภาษีของจักรยานไฟฟ้า (และสำหรับประเทศไทยก็น่าจะเหมือนๆ กับประเทศจีนนะ อันนี้ผมไม่แน่ใจ)

ใครคิดว่านี่คือจักรยานไฟฟ้า เวลาขี่แล้วแบตเตอรี่หมด ก็สามารถปั่นต่อได้ ผมบอกตัวไว้ตรงนี้อย่างย้ำชัดเลยนะครับว่าคิดผิดอย่างมาก คือ ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ตอนรีวิวจักรยานไฟฟ้า DYU-D2F มาก่อนหน้า ที่พอแบตเตอรี่หมดก็ยังพอปั่นได้นั้น ตอนนั้นว่าปั่นหนัก ปั่นยากแล้ว แต่ Ninebot eMOPED A35 นี่ ขอเรียกว่า Mission impossible ไปเลยดีกว่าครับ ปั่นแทบตาย จักรยานแทบไม่เคลื่อนที่ไปไหนเลย … ก็บอกแล้ว ว่าคันถีบมีไว้เพื่อแถเรื่องภาษีอะ
แต่บอกก่อนเลยว่าดีไซน์ของ Ninebot eMOPED A35 นี่ เรียบ หรู ดูดีมาก น่ารักด้วย ภรรยาผมยังชอบเลย แต่อย่างที่บอก มันดูมีความเป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากกว่าจักรยานครับ ตัวรถเนี่ยใช้ล้อยางลมขนาด 14 นิ้ว ทั้งหน้าและหลัง ผมดูสเปกแล้ว แต่ละเส้นรับโหลดได้ 115 กิโลกรัม และแรงดันลม 36psi มีโช้กหน้าและหลัง โดยโช้กหน้านี่เป็นโช้กแบบกระบอก ส่วนด้านหลังเป็นโช้กสปริง

ระบบเบรกหน้าหลังของ Ninebot eMOPED A35 เป็นแบบดรัมเบรก ส่วนยางลมที่ใช้เป็นแบบไม่มียางใน (Tubeless tire) และมีโครงสร้างเป็นผ้าใบ โดยมีเนื้อยางด้านนอกแข็งแรงกว่าบางทั่วไป ซึ่งนอกจากจะเก็บลมได้ดีกว่ายางทั่วไปแล้ว เวลามันเกิดโดนของมีคมทิ่มตำ ยางมีรูรั่ว เนื้อยางก็จะพยายามบีบรูรั่วเอาไว้ ให้ลมรั่วช้าลง ก็จะสามารถขี่ต่อไปได้อีกระยะหนึ่งด้วย




แฮนด์ด้านซ้ายของ Ninebot eMOPED A35 จะมีปุ่มแตรไฟฟ้า ส่วนด้านขวาจะมีสวิตช์ฟังก์ชัน ซึ่งเอาไว้ทำโน่นนี่ได้หลากหลายเลย ไม่ว่าจะเป็นเปิดเบาะนั่ง เปิดโหมด Cruise control เปิด-ปิดไฟหน้า และดับเครื่อง ที่แฮนด์แต่ละข้าง มันจะมีไฟ LED อยู่ด้วย เอาไว้แสดงสถานะการทำงานครับ สีส้มคือตัวรถโดนล็อกอยู่ สีเขียวคือพร้อมขับขี่ และสีฟ้าคืออยู่ในโหมด Cruise control (เดี๋ยวไว้ค่อยเล่าให้อ่านกันว่ามันคืออะไร)
การติดเครื่อง เก๋มาก เพราะไม่ต้องใช้กุญแจ แต่ใช้การ์ด NFC smart key แทน ไม่ต้องพกกุญแจให้เกะกะ แต่เราสามารถพกบัตรอันนี้ไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้เลย เวลาเราซื้อ Ninebot eMOPED A35 มันจะให้การ์ดนี้มา 2 ใบครับ ที่น่าสนใจคือ เพราะมันเป็นการ์ด NFC นี่แหละ ผมว่ามันน่าจะออกแบบให้คนที่มีสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC น่าจะสามารถล็อกอินแอปแล้วใช้สมาร์ทโฟนสตาร์ทรถได้ด้วย จะเก๋สุด (แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้นะ)



แน่นอนเมื่อเป็นจักรยานไฟฟ้า ก็ต้องชาร์จแบตเตอรี่ครับ เราสามารถเลือกชาร์จได้สองวิธี คือ ถ้าเกิดเรามีที่จอดในโรงรถ และมีการออกแบบให้มีปลั๊กไฟอยู่ไม่ไกลมาก เราก็สามารถเอาที่ชาร์จมาเสียบปลั๊ก ชาร์จที่ตัวรถได้โดยตรงเลยครับ แต่ถ้าเกิดว่าการชาร์จที่ตัวรถไม่สะดวก เราก็เอากุญแจ (ซึ่งมีมาให้สองอัน กันเหนียว) มาไขที่ด้านท้ายรถ ตรงใต้ไฟท้ายนั่นแหละ มันจะสามารถเปิดช่องใส่แบตเตอรี่ตรงที่วางเท้าได้ ถอดแบตเตอรี่ออกไปชาร์จได้เลย และเพราะแบตเตอรี่มันเป็นแบบถอดได้นี่แหละ ถ้าใครอยากได้ขี่ยาวๆ ก็อาจจะพิจารณาซื้อแบตเตอรี่สำรองมาใช้เปลี่ยนได้เลย แบตเตอรี่ที่ใช้กับ Ninebot eMOPED A35 เป็นแบบ Lithium 13Ah 48V ถ้าแบตเกลี้ยงๆ กว่าจะชาร์จได้เต็ม ใช้เวลาราวๆ 7 ชั่วโมงครับ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร คือ กลับบ้านก็ชาร์จทิ้งไว้แหละ ตื่นเช้ามาก็แบตเตอรี่เต็มพร้อมใช้
จุดขัดใจนิดๆ ก็คือ ไอ้ฝาปิดช่องใส่แบตเตอรี่อะ มันปิดยากเย็นจังวะ คือในใจผมนึกว่าพอจะปิด ก็แค่กดฝาปิดดันลงไปเบาๆ ตัวล็อกก็ควรจะล็อกดังแกร๊กแล้ว แต่ในความเป็นจริง มันไม่ล็อกจ้า ต้องเอากำปั้นทุบๆ อยู่หลายที กว่ามันจะล็อกได้ ไม่ต้องใช้แรงเยอะหรอกนะ แต่มันรำคาญที่ต้องทำแบบนี้


มาดูด้านหน้าและด้านหลังของ Ninebot eMOPED A35 กันบ้าง ด้านหน้าเนี่ย จะมีโลโก้ Ninebot อยู่ ตัวบอดี้สีขาว สวยเชียว แต่แอบเสี่ยงเลอะอย่างมาก บอกเลย สีขาวนี่ไม่ใช่สีที่เหมาะกับผม 🤣🤣 ไฟหน้าของรถมีสองส่วน ส่วนแรกคือ Daylight ที่จะติดตลอดเวลาครับ เขาว่ามีไว้เพื่อให้รถได้เห็นเราชัดเจนขึ้น แต่ไฟจริงๆ น่ะ คือไฟ LED ครับ


ซึ่งไฟหน้า LED ของ Ninebot eMOPED A35 เนี่ย สว่างเวอร์วังมากครับ ขับขี่กลางคืนผมว่าอุ่นใจขึ้นเยอะ ไฟสว่างขนาดนี้ รถยนต์คนอื่นๆ ก็เห็นเรา และเราก็เห็นถนนได้ค่อนข้างชัดเจน สบายใจ วิธีการเปิด-ปิดไฟคือ กดสวิตช์ฟังก์ชัน 2 ทีติดๆ กันครับ นอกจากนี้ก็สามารถตั้งค่าในแอปให้มันเปิดปิดด้วยการตบแฮนด์หรือ Dashboard 2 ทีติดกันได้ด้วย แต่ผมไม่แนะนำให้เปิดใช้อันนี้ เพราะจากที่ผมลองขี่ดู เวลาเจอพื้นที่ขรุขระมากๆ จนสะเทือนรัวๆ ระบบก็ดันนึกว่าเราตบแฮนด์สองทีเพื่อเปิดหรือปิดไฟซะงั้น อันตรายชิบ
ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยอีกอย่างคือ ระบบล็อกการใช้งานครับ คือ ตัวรถจะไม่สามารถบิดเร่งเครื่องได้ ถ้าขาตั้งยังไม่ถูกยกขึ้น และเบาะนั่นตรวจไม่พบว่ามีคนนั่งอยู่ (คือ ต้องมีน้ำหนักกดลงมาที่เบาะก่อน) ฉะนั้นหมดห่วงว่าจะเผลอบิดคันเร่งแล้วรถพุ่งไปชนนู่นชนนี่โดยไม่ตั้งใจ

ประสบการณ์ในการขับขี่ Ninebot eMOPED A35
จักรยานไฟฟ้ารุ่นนี้มีสองสเปก คือ รุ่นที่วิ่งได้เร็วสุด 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และรุ่นที่จะขายในไทย จะวิ่งได้ 33 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่คันที่ผมได้รีวิว เป็นล็อตแรกๆ ที่เขาเอาเข้ามาจำหน่าย จะมีราคาถูกกว่านิดหน่อย แต่แลกมาด้วยข้อจำกัดสำคัญ 2 เรื่องคือ
1️⃣ ความเร็วถูกจำกัดไว้ที่ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ทางร้าน MONOWHEEL จะสามารถใช้แอปช่วยปลดล็อกให้วิ่งได้ 33 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ แต่ Dashboard จะแสดงความเร็วสูงสุดได้แค่ถึงเลข 25 ครับ จะแอบงงใจอยู่เวลาดู
2️⃣ ณ ตอนนี้มันยังเชื่อมต่อกับแอปไม่ได้ ซึ่งผมดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของร้าน MONOWHEEL แล้ว มันก็ควรจะใช้แอปตัวเดียวกับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้านั่นแหละ แต่ล็อกแรกๆ ที่เข้ามา มันเหมือนจะไม่ใช่ Global version แนะนำให้เช็กดีๆ กับทางร้านครับ หากอยากได้รุ่นที่เชื่อมต่อกับแอปได้ ว่ามันจะเข้ามาขายเมื่อไหร่
ช่วงแรกๆ ที่ผมขับขี่ และยังไม่ได้ปลดล็อก มันก็จะวิ่งได้เร็วสุด 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ผมลองขี่แล้ว ตัวเลขบน Dashboard มันไปได้สุดแค่แถวๆ 24 เองครับ และด้วยความเร็วแค่นี้ ก็บอกเลยว่า เวลาที่มีจังหวะต้องออกถนนใหญ่ เช่น ถนนพระราม 2 แล้วละก็ แอบหวิวๆ อะ คือ รู้สึกว่ารถเรามันช้าเกิน แต่เมื่อได้ปลดล็อกความเร็วแล้ว มันเป็นวิ่งได้แถวๆ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกได้เลยว่ารถวิ่งเร็วขึ้น แต่พอไปออกถนนใหญ่ ก็รู้สึกว่าเสียวกว่าตอนขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเยอะมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้านี่มันเหมือนกับมอเตอร์ไซค์มากกว่าจักรยาน ทำให้รถยนต์ไม่ค่อยระวังเราเท่าไหร่

กระจกมองข้าง มีประโยชน์นะ บอกเลย มันช่วยให้เราไม่ต้องหันไปมองด้านหลังเวลาเราจะเปลี่ยนเลนหรือจะเลี้ยว แต่ด้วยสภาพถนนของประเทศไทย มันขรุขระและสะเทือนหนักมาก ผมแนะนำให้ทำการล็อกกระจกมองข้างให้แน่นมากๆๆๆๆ เลยนะ ไม่งั้นมันคล้ายครับ กระจกเบี้ยวหมดเลยจ้า

แฮนด์ของ Ninebot eMOPED A35 ค่อนข้างนิ่งดีมาก ถ้าจำเป็นต้องขี่มือเดียว (เช่น ขี่ๆ อยู่ดันคัน อยากจะเกา) ก็สามารถทำได้ไม่ยาก และถ้าเราขี่ไปได้ถึงความเร็วที่เราต้องการแล้วกดสวิตช์ฟังก์ชันทีนึง มันจะเข้าสู่โหมด Cruise Control เพื่อรักษาความเร็วที่กำหนดเอาไว้จนกว่าเราจะบิดคันเร่งหรือเบรก

แต่ผมตั้งข้อสังเกตนิดนึงเกี่ยวกับโหมด Cruise Control คือ เวลาที่รถมันสะเทือนหนักๆ หน่อย หรือต้องขี่ขึ้นทางชัน ความเร็วมันจะตก และความเร็วที่ Cruise Control รักษาเอาไว้ มันก็ตกลงมาเฉยเลย … และที่สำคัญ ถนนในชุมชนเมืองไทยเรา ไม่ได้เอื้อต่อการขี่ในโหมด Cruise Control ซักเท่าไหร่ครับ ฟีเจอร์นี้เหมาะกับเอาไว้ขี่เล่นๆ ชิลๆ ริมทะเล หรือบนสันเขื่อนโน่น แต่ Ninebot eMOPED A35 มันก็ไม่ได้พกพาสะดวกขนาดนั้น 🤣🤣 (ยกเว้นใครจะฟิต ยกมันขึ้นรถกระบะไปเพื่อเอาไว้ขี่เล่นเวลาไปเที่ยว)


ตามสเปกแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้าของเจ้านี่คือ 400 วัตต์ และแนะนำให้รับน้ำหนักไม่เกิน 120 กิโลกรัม ก็จะเหมาะกับการขับขี่คนเดียวมากกว่า หรืออย่างมากคือให้เด็กมานั่งด้วยอีกคน (มีอุปกรณ์เสริมเป็นเบาะสำหรับเด็ก ที่อาจจะมาขายในอนาคต) และเผอิญว่าแถวบ้านผมเนี่ย เต็มไปด้วยคลองเส้นเล็กเส้นน้อยไปหมด มีสะพานทั้งแบบไม่ชัน และชัน และเตี้ยๆ กับสูงๆ เยอะมาก ก็เลยมีโอกาสได้ลองขี่ดู ผมพบว่า แรงบิดมันไม่ค่อยมาก ขึ้นทางชันๆ ได้ไม่ค่อยดีครับ (น้ำหนักตัวผม 78.5 กิโลกรัม) ถ้าเป็นสะพานไม่ชัน หรือชันบ้างแต่ไม่สูง จะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าเจอสะพานชันด้วยสูงด้วย ต้องขี่เร็วๆ มาแต่ไกล ให้มีแรงส่งขึ้นไปเยอะๆ เลยครับ ไม่งั้นไม่รอด
ถ้าจอดนิ่งๆ อยู่เชิงสะพาน แล้วอยู่ๆ จะขี่ขึ้นสะพาน ผมไม่อยากแนะนำเลยครับ เพราะแม้จะสามารถขึ้นบางสะพานได้ (เช่น ในรูปขวามือด้านบน) แต่ความเร็วต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก คือ แถวๆ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันเกะกะรถยนต์คนอื่นๆ ที่ตามมามากครับ ถ้าใครต้องจอดทำธุระเชิงสะพานแบบนี้ แนะนำว่าให้ขี่ย้อนไปหน่อยนึง ตั้งหลักแล้วค่อยขี่ทำความเร็วให้มีแรงส่งข้ามสะพานได้ดีๆ

แม้ว่าจะปลดล็อกความเร็วเป็นสูงสุด 33 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ผมก็ยังไม่แนะนำให้เอามาใช้ขับขี่ออกถนนเส้นหลักนะ ส่วนนึงมาจากที่คุณตำรวจจราจรเขาอาจจะมองว่าเป็นมอเตอร์ไซค์นะครับ อาจโดนเรียกไปเตือน หรือโดนข้อหาหนักกว่านั้นก็ได้ อีกส่วนนึงก็มาจากการที่รถยนต์ส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่ได้มองเราเป็นจักรยานไฟฟ้านั่นแหละครับ เพราะทรงมันเหมือนรถมอเตอร์ไซค์เหลือเกิน แต่ตอนที่ผมเอามาขี่ร่อนไปมาเนี่ย ผมสังเกตว่ามีหลายคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เขามองมาที่ Ninebot eMOPED A35 นี่เหมือนกันนะ เขาคงจะแอบสนใจว่านี่มันอะไร (อาจจะเห็นคันถีบ เลยสนใจว่าจักรยานอะไร หน้าตาเหมือนมอเตอร์ไซค์จัง)

ใครจะซื้อ Ninebot eMOPED A35 ไปใช้ ผมแนะนำว่าเอาไว้เพื่อใช้แทนจักรยานจริงๆ ขี่ในซอยแถวบ้าน หรือถนนชนบทที่รถราไม่พลุกพล่าน แบบนี้โอเค ไม่แนะนำให้ขี่ออกไปที่ถนนเส้นหลักที่รถเยอะๆ ซักเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าจะขี่ไปตลาด ไป 7-11 หรือ Community Mall แถวบ้าน ในระยะซัก 5-10 กิโลเมตร แบบนี้ก็ยังเรียกว่าโอเคนะ มันสะดวกดีด้วย เพราะสามารถจอดรถไว้ที่จอดรถจักรยานยนต์ได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวคนมาขโมยไป แถมมันมีระบบกันขโมยคือ หากดับเครื่องอยู่ แล้วดันมีใครมาพยายามขยับรถ มันจะส่งเสียงพร้อมล็อกล้อไม่ให้ขยับด้วย แต่เสียงเตือนนี่แอบเบาเกิ๊น ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหันมาสนใจหรือเปล่านะ มันควรจะเสียงดังได้มากกว่านี้นะ เอาเสียงแตรรถไฟฟ้าก็ยังดีอะ

ตัวรถมันมีตะขอเอาไว้เกี่ยวของได้ ถ้าเราไปซื้อของจากตลาดมา ก็เอาของมาเกี่ยวตรงนี้พอไหวได้ประมาณนึง พื้นที่วางเท้า ถ้าเราเปลี่ยนไปเหยียบคันถีบ หรือในอนาคต เขามีอุปกรณ์เสริมเป็นที่วางเท้าด้านข้าง พอติดตั้งแล้วก็ใช้พื้นที่วางเท้ามาวางของได้อีกประมาณนึงเช่นกัน หรือจะซื้อเบาะหลังมาเสริม เพื่อจะได้ซ้อนคนเพิ่มหรือบรรทุกของด้านหลังด้วยก็ได้

ถามว่า สเปกบอกว่าวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 41 กิโลเมตร ของจริงวิ่งได้แค่ไหน? ผมลองเอาไปขี่แบบยิงยาวๆ มา 22.45 กิโลเมตร (ความเร็วสูงสุดที่บันทึกในระบบคือ 36.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่นั่นเป็นเพราะความเร็วของรถตอนลงสะพานสูงครับ แรงส่งมันทำให้รถวิ่งเร็วกว่าสเปกเยอะเลย) จากแบตเตอรี่ 100% หายไปราวๆ 60% กว่าๆ ถ้าเอามาเทียบบัญญัติไตรยางค์ พร้อมเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้หน่อย (ผมไม่อยากให้วิ่งจนแบตเตอรี่เกลี้ยงเหลือ 0% นะ) ผมคิดว่า ระยะ 35-37 กิโลเมตร น่าจะเป็นที่สุดของมันแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง อาทิ น้ำหนักของผู้ขี่และของอื่นๆ ที่อยู่บนรถ พฤติกรรมในการขับขี่ และสภาพของถนนที่ขับขี่ด้วย
สำหรับคนที่ห่วงเรื่องการขับขี่ตอนฝนตก ตัวรถกันน้ำมาตรฐาน IPX5 ส่วนแบตเตอรี่กันน้ำมาตรฐาน IPX7 ครับ ถ้าจำเป็นก็สามารถขี่ลุยฝนเบาๆ ได้ แต่ถ้าเจอน้ำท่วมขัง ผมไม่แนะนำให้ลุยครับ (อันนี้ผมไม่ได้ไปลองรีวิวมา เพราะไม่ใช่หน้าฝน และการขี่ฝ่าฝนมันแอบอันตรายด้วย โดยเฉพาะสภาพถนนแบบประเทศไทยเราเนี่ย)
ฟีเจอร์นึงที่ผมไม่ได้ทดสอบ คือ ระบบปั่นกระแสไฟกลับ (Regenerative braking) ครับ อันนี้น่าจะต้องเปิดใช้งานผ่านแอป และทาง MONOWHEEL ไม่ได้เปิดมาไว้ให้ผม เพราะผมสังเกตว่าผมผ่อนคันเร่งแล้ว รถยังวิ่งไปได้อีกไกลมาก จนเหมือนมันไม่ได้ปั่นไฟกลับใดๆ เลย ในรุ่นล็อตแรกๆ ที่เชื่อมต่อแอปไม่ได้ ผมเลยไม่สามารถเปิดใช้งานเองได้
ราคาตั้ง 42,900 บาทแน่ะ จักรยานไฟฟ้ายี่ห้ออื่น 19,900 บาทเองนะ ทำไมต้องจ่ายแพง?
นอกจากคำถามตามที่จั่วหัวแล้ว มันก็มีคนมองว่า ราคาแบบนี้ซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเลยดีกว่าไหม ก็น่าคิดนะครับ ราคาค่าตัว Ninebot eMOPED A35 มันตั้ง 42,900 บาทแน่ะ จักรยานไฟฟ้าที่ผมซื้อมา 19,900 บาทเอง ถ้ามองแค่สเปกความเร็วกับระยะทาง ก็พอๆ กันเลย ทำไมเราถึงจะเลือกจ่ายแพงกัน?
ถ้าเทียบกับจักรยานไฟฟ้า ผมว่าเป็นเรื่องของฟีเจอร์ครับ คือ ไอ้จักรยานไฟฟ้า 19,900 บาทที่ผมซื้ออะ มันคือ จักรยาน + ไฟฟ้า เฉยๆ จริงๆ ครับ คือเลือกขี่ในโหมด Pedal assist ก็ได้ หรือจะบิดเร่งความเร็วอย่างเดียวก็ได้ มีไฟหน้าไว้ขี่ตอนกลางคืนด้วย แต่ก็แค่นั้น มันไม่มีระบบป้องกันขโมย (ถ้าโดนยกไปก็จบกัน) มันไม่มีระบบเซฟตี้กันอุบัติเหตุเวลาที่มีคนบิดคันเร่ง แต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมขี่ มันไม่มีระบบปั่นกระแสไฟกลับด้วย ไม่มี Cruise Control ฯลฯ และดีไซน์ก็เป็นแบบจักรยานจ๋ามาก คนที่ยอมจ่ายแพงซื้อ ก็น่าจะเพราะอยากได้ฟีเจอร์พวกนี้ รวมถึงดีไซน์ด้วยแหละ
ส่วนกรณีที่เทียบกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า พิจารณาจากรูปร่างหน้าตา และสเปกแล้ว ถ้าคนที่ต้องการจะใช้งานขับขี่จริงๆ จังๆ แบบ ขี่ไป-กลับที่ทำงานได้ หรือมีไว้เผื่อจะใช้ขี่ใกล้ขี่ไกลได้เลย ก็อาจจะพิจารณาเลือกมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจริงๆ แหละ แต่คนที่ไม่เลือกมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แต่เลือกจักรยานไฟฟ้า ก็น่าจะเป็นเพราะไม่ได้อยากได้ความเร็วมากขนาดนั้น และอยากได้ฟีเจอร์โน่นนี่อย่างที่ผมบอกในย่อหน้าที่แล้วนั่นแหละครับ ของแบบนี้ นานาจิตตัง จริงๆ
อยากซื้อ Ninebot eMOPED A35 ซื้อได้ที่ไหน?
ไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้เลยที่ Ninebot eMoped A35 (monowheel.bike) ครับ แต่ถ้าใครสะดวก ไปที่ร้านเลยก็ได้ (ที่จอดรถเพียบ) เขามีให้ทดลองที่ร้านด้วย จะได้ตัดสินใจก่อนซื้อจริงๆ