ผมเริ่มทยอยตัดการใช้เงินสดออกจากชีวิตเมื่อราวๆ 4 ปีก่อน (พ.ศ. 2561) และตัดออกไปได้เกือบ 90% เลย เมื่อถึงปี 2562 แต่ยังติดตรงที่หลายๆ ร้านที่ไปใช้บริการประจำ เขายังปรับตัวเข้าสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดไม่ได้ เพราะยังไม่ใช่ทุกคนในสังคมที่จะทำตัวไร้เงินสด เลยทำให้แต่ละร้านยังต้องมีกระแสเงินสดหมุนเวียน เพื่ออย่างน้อยก็ต้องใช้ทอนเงินให้ลูกค้าอยู่ บางร้านก็ยังไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องไปเรียนรู้เรื่องการรับชำระเงินด้วยการโอนเงินผ่านแอป หรือรับเงินผ่านพร้อมเพย์ จนกระทั่งโรคโควิด-19 มันถล่มโลกซะยับตั้งแต่ปี 2563 มาจนถึงตอนนี้นี่แหละ ชีวิตวิถีใหม่ของผม มันก็เลยเกือบจะไร้เงินสดโดยสิ้นเชิงไปแล้ว เอาจริงๆ ถ้าแค่ทำงานในแต่ละวัน และใช้ชีวิตอยู่แถวบ้าน หรือเข้าในกลางเมือง ผมนี่แทบไม่ต้องพบเงินสดเลยซักบาทจริงๆ
สำหรับผม ที่เดินทางไปทำงานด้วยสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ก็ไม่ต้องมาจ่ายค่าเดินรถเมล์ รถแท็กซี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันก่อนผมเห็นรถเมล์เอกชนสาย 147 เขามีการปรับปรุงใหม่ สามารถใช้บัตร Rabbit card แตะเพื่อชำระค่าโดยสารได้แล้ว เริ่มเหมือนในต่างประเทศกัน และคิดว่าน่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้มากขึ้น (ขสมก. ก็พยายามทำมาทีนึง แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่าซะงั้น ผมยังเห็นพนักงานเก็บค่าโดยสารยังเดินเก็บค่าโดยสารอยู่ เพราะไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนจะพร้อมใช้ Rabbit card ขนาดนั้น แต่อนาคต อย่างน้อยๆ ผู้ประกอบธุรกิจรถเมล์เอกชนก็น่าจะใช้ระบบ Cashless กันมากขึ้น เพราะไม่ต้องเอาเงินสดไปเก็บไว้ที่พนักงานเก็บเงินค่าโดยสาร (มีความเสี่ยงที่จะถูกฉ้อโกง) และสามารถเอาข้อมูลไปประมวลผล เพื่อวางแผนการเดินรถได้อีก (ช่วงเวลาที่มี Transaction เยอะ แสดงว่าอาจจะต้องเผื่อจำนวนรถวิ่งให้เยอะขึ้น เป็นต้น)

สำหรับร้านอาหาร ที่แต่เดิมก็จะมีแต่ร้านใหญ่ๆ ที่จะรับพวกบัตรเครดิตหรือไม่ก็การชำระผ่าน Wallet (ที่บริษัทที่ให้บริการ Wallet เขาทำการตลาดเพื่อให้ร้านอาหารต่างๆ รับการชำระเงินผ่านช่องทางนี้) ด้วยความที่เทรนด์ของการลดการสัมผัสเงินสดมันมีเยอะขึ้น ประกอบกับการส่งเสริมให้ร้านค้ามาร่วมโครงการคนละครึ่ง ซึ่งช่วงแรกๆ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการนี้ก็ได้ยอดขายพุ่งกระฉูด เพราะผู้ซื้อก็อยากจะชำระเงินผ่านช่องทางนี้ เพราะจะเหมือนได้ส่วนลด 50% ทำให้แม้ตอนหลังๆ ร้านค้าจะเริ่มขยาดกับระบบของคนละครึ่งที่อาจทำให้สรรพากรมาตรวจสอบเรื่องการจ่ายภาษีมากขึ้น แต่เมื่อลูกค้าก็เคยตัวกับความสะดวกที่ไม่ต้องพกเงินสดแล้ว และการมาของพร้อมเพย์ (PromptPay) ในปี 2559 ซึ่งนำไปสู่การที่ทุกธนาคารพร้อมใจให้ลูกค้าสามารถโอนเงินระหว่างธนาคารได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม ก็เลยกลายเป็นว่าแต่ละคนสะดวกโอนเงิน หรือสแกน QR code เพื่อชำระเงินมากกว่า
ขนาดผู้สูงอายุ ยังรู้เลยว่าจะใช้แอปธนาคารโอนเงินหรือสแกนจ่ายยังไง ร้านค้าหลายๆ ร้านที่สะดวกรับแต่เงินสด ก็เริ่มยอมให้ลูกค้าโอนเงินได้แล้ว (จะทำยังไงได้ ถ้าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่พกเงินสดมาแล้ว เพราะเขาเคยชินกับการสแกนจ่าย โอนง่าย ซะส่วนใหญ่)

มาจนถึงตอนนี้ ต่อให้ลูกค้าจะมีช่องทางในการชำระมากขึ้นจนงงไปหมดว่าจะใช้อันไหนดี ไม่ว่าจะโอนเงินผ่านธนาคารต่างๆ บัตรเครดิต Wallet นานับยี่ห้อ แต่เมื่อลูกค้าสะดวกแบบนี้ และร้านค้าเริ่มโดนบังคับให้ต้องปรับตัวในช่วงเวลา 2 ปีของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ด้วยนะ) ร้านค้าก็เลยพร้อมรับการชำระเงินมันทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้แหละ อย่างตู้กดกาแฟเต่าบินที่ฮิตกันอยู่ในช่วงนี้ จะชำระเงินสดก็ได้ จ่ายผ่าน QR code ก็ได้ และมีช่องทางเดบิตของแบรนด์เขาเองอีก เป็นต้น

เอาจริงๆ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าตรุษจีนยังรู้สึกว่าต้องกดเงินสดมาให้แต๊ะเอียแม่และภรรยา แบบใส่ซองแดงให้กันถึงมือนะ ก็คงไม่ได้ไปกดเงินที่ ATM มานานมากแล้ว ที่สำคัญ เดี๋ยวนี้ทั้งธนาคารและ Wallet ก็เริ่มมีแคมเปญให้คนให้แต๊ะเอียผ่านการโอนเงินแล้วด้วย ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีที่ผมจะยังกดเงินสดมาให้แต๊ะเอียนะเนี่ย
อ้อ! แต่ผมก็ยังคงมีเงินสดติดตัวเอาไว้ซักพันกว่าบาท ในกระเป๋านะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่ามันจะมีสถานการณ์ฉุกเฉินใดๆ ที่เราต้องจ่ายเป็นเงินสดไหม