เดือนก่อนผมซื้อ Keychron K4V2 มาใช้ เพราะต้องการลดอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ต้องใช้สาย โต๊ะคอมจะได้โล่งๆ ขึ้น แต่จริงๆ ผมอยากได้ Keychron K10J2 มากกว่า เพราะ K4V2 มันเป็นคีย์บอร์ดย่อส่วน มีขนาด 96% ของขนาดเต็ม มันมีการวางเลย์เอาต์ปุ่มที่แปลกไป เวลาจะพิมพ์จริงๆ มันแอบไม่ถนัด แต่ตอนนี้ K10J2 ไม่มีของ แต่เมื่อสองวันก่อน เว็บเขามีของเข้ามา เลยไม่รอช้า รีบกดมาโดยไวครับ (และแน่นอน ปล่อย K4V2 ไปเรียบร้อยแล้ว) เลยถือโอกาสรีวิวให้ได้อ่านกันเลยก็แล้วกัน
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
คีย์บอร์ด Keychron K10J2 ตัวที่รีวิวนี้ ซื้อมาเอง ใช้เองครับ โดยเป็นการซื้อมาทดแทน K4V2 ที่ใช้มาสามสิบกว่าวัน และปล่อยของออกไป ฉะนั้น อันนี้ก็คือการรีวิวจากผู้ใช้งานจริง และเป็นผู้ใช้งานที่เคยใช้คีย์บอร์ด Keychron K4V2 มาก่อนด้วย ผมก็จะรีวิวเปรียบเทียบการใช้งาน และความเหมาะสมให้ได้อ่านกันด้วยครับ
แน่นอนว่ากล่องของ Keychron K10J2 จะมีขนาดใหญ่กว่าของ K4V2 นิดหน่อยครับ เพราะมันเป็นแบบ Full size ตอนแรกผมยังแอบตกใจว่าร้านไม่ได้ส่งรุ่นที่คีย์แคปภาษาไทยมาเหรอ เพราะ K4V2 อะ มันจะมีสติกเกอร์ติดไว้ว่า Thailand ด้วย แต่ K10J2 ไม่มีเฉยเลย เล่นเอาผมต้องกลับไปเช็กว่า ผมกดผิดเหรอ? แต่ก็ไม่ใช่นะ ผมกดสั่งรุ่นคีย์แคปภาษาไทยมาจริงๆ อะ

และแม้ว่าจะเป็นยี่ห้อเดียวกันแท้ๆ แต่ภายในกล่องมันแอบแตกต่างกันเล็กน้อยครับ เริ่มจากตัวแผ่น Quick Guide ที่แนะนำวิธีการใช้งานแบบคร่าวๆ ซึ่งก็จะดูคล้ายๆ ของรุ่น K4V2 นะ มันสอนวิธีการเชื่อมต่อบลูทูธ ซึ่งสามารถต่อได้ 3 อุปกรณ์ โดยกด Fn + เลข 1-3 เอา แต่ผมสังเกตว่ามันไม่มีอธิบายการทำ Factory reset (กด Fn + J + Z ค้างไว้ 4 วินาที) แต่มันมาสอนเรื่องการใช้งาน Siri (macOS) หรือ Cortana (Windows) แทน


ในส่วนของอุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่อง ก็จะคล้ายๆ กัน คือ นอกจากมีตัวคีย์บอร์ด Keychron K10J2 ที่เป็นแบบ 104 คีย์แล้ว ก็มีสาย USB-A to USB-C เอาไว้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และสำหรับคนที่อยากเชื่อมต่อแบบมีสาย เพื่อความรวดเร็วในการส่งข้อมูล สำหรับคนที่อยากจะใช้งานเพื่อเล่นเกมจริงจัง สาย USB นี่มีความยาว 120 เซ็นติเมตร เรียกว่าไม่สั้นมาก และไม่ได้ยากมากเช่นกัน เป็นสายถักอย่างดีเลย

นอกจากนี้ก็มีคีย์แคปเอาไว้ให้เปลี่ยน ก็จะเป็นปุ่ม Alt และ Windows ในกรณีที่เราใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ที่เอาไว้สลับกับปุ่ม Option และ Command ที่เป็นของระบบปฏิบัติการ macOS ครับ โดยตัวคีย์บอร์ดเขาใส่คีย์แคปของ macOS มาให้ก่อน สำหรับสาย Windows แบบผม ก็ต้องไปเปลี่ยนคีย์แคปแป๊บ นอกจากนี้อีกสองปุ่มก็คือ ปุ่ม Esc และ ปุ่มสวิตช์ไฟ Backlit ที่มีทั้งแบบสีเทาเข้มกับสีส้มโดดเด่น สามารถเปลี่ยนได้ตามความชอบ
ตัวคีย์แคปทำจากวัสดุเป็นพลาสติก ABS ครับ ดูดีเลยแหละ แต่ก็เหมือนกับ K4V2 เช่นเคย คือ ถ้าเกิดว่านิ้วมือมันๆ ไปจับโดน มันก็จะเลอะเป็นรอยนิ้วมือคราบมันๆ ได้ง่าย ใครรักสวยรักงาม แนะนำให้หมั่นเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ หน่อย ข้อเสียของการใช้คีย์แคปแบบ ABS ก็อย่างที่หลายๆ คนอาจจะทราบกัน คือ ใช้ไปนานๆ ผิวที่ทำมาด้านๆ ก็อาจจะขึ้นเงาได้ครับ

Keychron K10J2 ที่ผมซื้อมาเป็นสี Light grey หรือ เทาอ่อน คีย์แคปในส่วนของตัวอักษร/อักขระ จะเป็นสีเทาอ่อน และจะมีสลับกับคีย์แคปที่เป็นสีเทาเข้ม ส่วนสวิตช์ผมเลือกเป็น Blue switch ครับ ตอนแรกอยากซื้อเป็น Brown switch แต่เพื่อนผมที่ใช้อยู่บอกว่ามันมีปัญหากดแล้วเบิ้ล ผมเลยไม่อยากเสี่ยง ส่วน Red switch ผมกลัวว่าเสียงมันจะเบาไป ไม่สะใจตอนพิมพ์ 🤣🤣 สุดท้าย กลับมาตายรัง Blue switch เหมือนเดิม (ภรรยาผม ที่นั่ง Work from Home จากห้องเดียวกัน ก็ใช้ Mechanical keyboard แบบ Blue switch เหมือนกัน เราเลยไม่รำคาญกันเอง) ฉะนั้นการรีวิวนี้ก็จะอยู่บนพื้นฐานของสเปกตามนี้นะ
ส่วนใครที่ซื้อมาแล้ว ไม่ถูกใจ อยากเปลี่ยนสวิตช์ในภายหลังก็สามารถทำได้ครับ เพราะเป็น Hot swappable ครับ และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกปุ่มด้วย บางคนอาจจะอยากได้เฉพาะบางปุ่มที่เป็น Red switch หรือ Brown switch ก็สามารถเลือกเปลี่ยนได้ Mix & Match กันเอาเอง
วัสดุที่ใช้ทำตัวคีย์บอร์ดเป็นอลูมิเนียม เลยทำให้คีย์บอร์ดมีน้ำหนักพอสมควรอยู่ เช่นเคย Keychron K10J2 ก็สามารถปรับระดับได้สองระดับ อยู่ที่ว่าเราจะเอาขาตั้งอันเล็กหรือขาตั้งอันใหญ่มาใช้ครับ สูงสุดมันทำมุมเอียงได้ 9 องศา เพื่อให้เหมาะกับการพิมพ์ที่สุด

ด้านซ้ายของตัวคีย์บอร์ดก็เช่นเคย มีพอร์ต USB-C เอาไว้เสียบชาร์จแบตเตอรี่และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในกรณีที่เราจะใช้โหมดเชื่อมต่อแบบมีสาย สวิตช์ตรงกลางเป็นสวิตช์เอาไว้เลือกระบบปฏิบัติการระหว่าง Windows/Android และ macOS/iOS ซึ่งการเลือกนี้จะส่งผลต่อเลย์เอาต์ของปุ่มต่างๆ บนคีย์บอร์ด และสุดท้าย สวิตช์ทางขวาสุด เป็นปุ่มเลือกโหมดการทำงานระหว่าง บลูทูธ-ปิด-เชื่อมต่อแบบใช้สาย

สำหรับ Keychron K10J2 ก็อย่างที่บอกครับ เป็นคีย์บอร์ดแบบ 104 คีย์ เต็มรูปแบบ ฉะนั้น ใครที่คุ้นชินกับคีย์บอร์ดทั่วๆ ไป ก็จะใช้งานเจ้านี่ได้ไม่ยาก ไม่ต้องปรับตัวใดๆ เลย เพราะเลย์เอาต์มาเป็นแบบ ANSI keyboard เต็มๆ ที่แตกต่างเล็กน้อยคือ อิสามปุ่มที่อยู่เหนือปุ่ม Insert | Home | Page Up ครับ ที่ตามเลย์เอาต์ของ ANSI แล้วจะเป็น (จากซ้ายไปขวา) Print Screen | Scroll Lock | Pause/Break แต่ของ Keychron K10J2 นี่จะเป็น Print Screen (และแทนที่จะเป็นข้อความ PrtSc ก็กลายเป็นไอคอนรูป Screen capture แทน)

ส่วนปุ่ม Scroll lock ก็กลายเป็นปุ่มรูปไมโครโฟนแทน ซึ่งเมื่อกดปุ่มนี้ตอนอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 มันจะเรียกใช้โปรแกรม Microsoft Teams (แบบ Personal) ขึ้นมา และปุ่ม Pause/Break ก็กลายเป็นปุ่มไอคอนหลอดไฟ ทำหน้าที่เปิด-ปิด และเปลี่ยนโหมดของไฟ Backlit แทน

ตัวคีย์แคปนั้นเป็นแบบที่ไฟ Backlit สามารถลอดออกมาได้นะครับ ดังนั้น ถ้าใช้ตอนกลางคืน ให้แสงมันสลัวๆ ลงมาหน่อย มันก็แอบสวยเอาเรื่องอยู่นะเออ

และแน่นอน สำหรับคนในวงการคีย์บอร์ด ก็ย่อมอยากจะเปลี่ยนคีย์แคปตามใจชอบ ซึ่งก็สามารถทำได้ไม่ยากครับ แค่ต้องดูว่าเป็นคีย์แคปแบบ OEM Profile | MX Style นะครับ อันนี้เหมือน K4V2 ครับ ใครที่ใช้ K4V2 อยู่ก่อน แล้วมีซื้อคีย์แคปไว้ ก็เอามาใช้กับ K10J2 ได้

พอได้มาลองพิมพ์ใช้งานดู แม้ว่าฟีลลิ่งของการพิมพ์จะไม่ได้แตกต่างไปจากตอนใช้ K4V2 เท่าไหร่ เพราะมันก็เป็น Gateron blue switch เหมือนกัน แต่พอคีย์บอร์ดมันเป็นไซส์เต็ม มี 104 คีย์ ความแตกต่างที่รู้สึกได้คือ เลย์เอาต์ของปุ่มต่างๆ มันคุ้นเคยอะ คือ ในฐานะที่เป็นคนใช้คีย์บอร์ดไซส์เต็มมาก่อน มันเคยตัว และไม่ต้องมาปรับอารมณ์ระหว่างตอนไปทำงานที่ออฟฟิศ ที่ผมใช้ Optical mechanical keyboard แบบไซส์เต็ม แล้วกลับมาบ้าน บอกเลยว่ามันพิมพ์ชิลล์กว่าเยอะ
และแน่นอน Blue switch ก็ให้เสียง แต่กๆๆๆๆๆๆ ได้ดังน่ารำคาญดี ในกรณีที่เราเอามาใช้งานร่วมออฟฟิศกับคนอื่นๆ หรือมีคนอื่นๆ อยู่ในห้องด้วย เวลาประชุมออนไลน์ ถ้าพิมพ์ไปคุยประชุมไป คู่สนทนารับรู้กันหมดครับว่าเราแยกสมาธิไปพิมพ์โน่นนี่อยู่ 🤣🤣 ใครที่พิมพ์สัมผัสคล่องๆ นี่คือ ได้ยินเสียงแต่กๆๆๆๆๆ รัวๆ เลย เร้าใจสุดๆ 🤣🤣
K4V2 K10J2
นอกจากนี้ปุ่ม Shift ขวา ที่เป็นปุ่มที่ผมมักจะใช้ประจำ ก็จะมีขนาดเต็มตามปกติด้วย เพราะไม่มีลูกศรมาเบียดเหมือนรุ่น K4V2 ทำให้เวลากดไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่ (คือตอนใช้ K4V2 นี่ยังมีบางจังหวะที่นิ้วก้อยผมพลาดไปกดลูกศรขึ้น แทนที่จะกด Shift) และได้ปุ่ม Insert กลับมาด้วย (แต่ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอะไรหรอกนะ เพราะเป็นปุ่มที่ผมไม่ค่อยได้ใช้ แต่บางคนนี่โหยหาอยู่นะ) ตำแหน่งของปุ่ม Home, Delete, End, Page up, Page down ก็อยู่ในตำแหน่งที่คุ้นเคยกว่าด้วย (สำหรับคนที่อยากได้เลย์เอาต์แบบนี้ แต่มีขนาดกะทัดรัด และยอมขาด Numpad ได้ อาจจะไปเลือก K8 แทน)

และแน่นอน ด้วยความที่เป็นคีย์บอร์ดแบบไซส์เต็ม เราก็จะมีไฟ LED บอกสถานะของการเปิด-ปิดการใช้งาน Numpad และ Caps และบอกได้ด้วยว่า ณ ตอนนี้เราเปิดสวิตช์เป็นการใช้งานสำหรับระบบปฏิบัติการอะไรอยู่ macOS หรือ Windows ซึ่งในดีไซน์ 96% ของ K4V2 นี่ไม่มีอะไรแบบนี้ … ถามว่ามันจำเป็นมากไหม? ก็ไม่หรอกนะ เพราะตอนผมใช้ K4V2 ก็ไม่ได้สังเกตอะไรมาก (คือปกติก็ไม่ค่อยใช้ Caps อยู่แล้ว และก็เปิดใช้งาน Numpad ตลอดเวลา ไม่ได้ไปปิดมัน) แต่การที่มันมี ก็ดีกว่าไม่มี คิดว่านะ 🤣🤣
แบตเตอรี่ให้มา 4,000mAh และด้วยวัสดุเป็นอลูมิเนียม น้ำหนักของคีย์บอร์ดก็ใช่ย่อยนะ คือ 1.082 กิโลกรัม หนักกว่ารุ่น K4V2 ที่มีน้ำหนัก 0.933 กิโลกรัม อยู่นิดหน่อย ก็ไม่ใช่อะไรที่จะเหมาะแก่การพกพาติดตัวไปไหนมาไหนด้วยหรอกนะ ทั้งสองรุ่นนี้ หนักกว่าโน้ตบุ๊ก Fujitsu UH-X (749 กรัม) ที่ผมซื้อให้ภรรยาใช้ซะอีก 🤣🤣
บทสรุปการรีวิว Keychron K10J2
สำหรับผม คงจบที่ตัวนี้แล้ว เพราะตอบโจทย์การใช้งานครบยิ่งกว่า K4V2 ครับ คือ เป็นคีย์บอร์ดแบบ 104 คีย์ที่ผมพิมพ์ใช้งานคล่องตัวที่สุด และเป็นแบบไร้สายด้วย ไม่มีสายเกะกะบนโต๊ะ ในราคา 4,390 บาท เท่าๆ กับ K4V2 ด้วย หลังจากใช้งาน K4V2 มาได้เดือนนึง และตัดสินใจลุยต่อกับ K10J2 นี่ ต้องยอมรับว่าไม่แปลกใจว่าทำไมคนฮิตใช้กันจัง ไอ้ Keychron เนี่ย คือ ของมันดีนะ คีย์บอร์ดมีน้ำหนัก มันวางอยู่บนโต๊ะได้มั่นคงดีมาก วัสดุดี บึกบึน ให้ประสบการณ์ในการพิมพ์ที่ดีงามมาก เชื่อมต่อไร้สายได้คล่องตัว และหากจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้กับโน้ตบุ๊กเครื่องอื่น หรือสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ก็ยังพร้อมจับคู่ได้สูงสุด 3 อุปกรณ์เลย และสลับไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้ไม่ยากด้วย
คนที่เหมาะจะใช้คีย์บอร์ด Keychron K10J2 นั้นผมว่า ต้องเป็นคนที่อยากได้คีย์บอร์ดไร้สายแบบ Mechanical แบบไซส์เต็ม มีความพรีเมียม และอาจจะเป็นคนที่มีอุปกรณ์ใช้งานหลายตัว และอยากจะใช้คีย์บอร์ดช่วยพิมพ์อยู่แล้ว คือดีงาม
ถ้าสนใจจะซื้อคีย์บอร์ด Keychron แบบมีตัวเลือกคีย์แคปภาษาไทย ไปซื้อได้ที่เว็บ https://www.keychronthailand.com/ นั่นศูนย์เขาเลย มีประกัน และส่งไวเอาเรื่อง คือ 2 วันได้ของ ส่ง DHL มาดีงาม (ถ้าเขามีของในสต็อกนะ คือ คีย์บอร์ดแพง แต่ขายดี เลยของหมดไวสุดๆ)