เมื่อบ้านที่คุณอาศัยอยู่ มีโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับอดีตได้ และการโทรศัพท์ของคุณ ไปเปลี่ยนแปลงอดีต ส่งผลให้ฆาตกรโรคจิตรอดพ้นจากความตาย และหายนะกลับมาตกที่ตัวคุณแทน คุณจะทำยังไง หากตัวคุณในปัจจุบันต้องต่อสู้กับฆาตกรโรคจิตในอดีต ที่กำชะตาชีวิตของคุณเอาไว้ทั้งหมด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะกลายเป็นภาพลวงตาไปในทันทีเมื่ออดีตเปลี่ยนไป
ผมลองไปค้นๆ ข้อมูลมา หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดัดแปลงบทมาจากหนังเรื่อง The Caller (2011) ของอังกฤษ สำหรับผมแล้ว มันมีกลิ่นอายของเรื่อง Frequency (2000) และ The Butterfly Effect (2004) เข้าไว้ด้วยกัน แต่แทนที่มันจะเป็นพระเอกสามารถคุยกับคุณพ่อในอดีตผ่านวิทยุคลื่นสั้นได้เหมือนในเรื่อง Frequency ก็กลายมาเป็นนางเอกคุยกับฆาตกรโรคจิตผ่านทางโทรศัพท์แทน และอะไรก็ตามที่ฆาตกรโรคจิตคนนั้นกระทำในอดีต จะส่งผลกระทบต่อปัจจุบันอย่างมหาศาล แบบเดียวกับ The Butterfly Effect ต่างกันแค่ว่าตัวเอกจะไม่เกิดความเสียหายกับสมองจากความทรงจำใหม่ๆ ที่ถาโถมเข้ามาเพราะอดีตเปลี่ยนแปลง

คิม โซยอน นางเอกของเรื่อง ใช้ชีวิตในปัจจุบันกับคุณแม่ที่ป่วยหนักของเธอ เธอไม่ค่อยชอบคุณแม่เท่าไหร่ สังเกตได้จากพฤติกรรมที่เธอมีต่อคุณแม่ คุณพ่อของเธอเสียไปแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน จากอุบัติเหตุไฟไหม้ แต่ชะตาพาให้เธอมาพบกับโทรศัพท์ไร้สายเครื่องนึงในบ้านของเธอ ที่สามารถโทรคุยกับ โอ ยองซุก เด็กสาวที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาก่อน ซึ่งถูกคุณแม่ของเธอขังเอาไว้ และทำร้ายเธอเป็นประจำ เพราะคุณแม่ของเธอเป็นร่างทรง และเชื่อว่าลูกของเธอจะนำหายนะและความตายมาสู่คนจำนวนมาก
หลังจากที่ โซยอน และ ยองซุก พูดคุยกันและพิสูจน์จนเชื่อได้ว่าแต่ละคนอยู่ในช่วงเวลาที่ห่างกันไป 20 ปี โซยอนได้ให้ยองซุกช่วยไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่จะคร่าชีวิตของคุณพ่อของเธอไป ซึ่งการเปลี่ยนอดีตนี้ส่งผลให้ปัจจุบันเปลี่ยนแปลง ครอบครัวของเธอได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง โซยอนเป็นหนี้บุญคุณยองซุก และเมื่อเธอพบว่ายองซุกจะถูกคุณแม่ฆ่า เธอก็เลยรีบไปเตือน ซึ่งข้อมูลนี้ช่วยให้ยองซุกรอดตาย แต่ในทางกลับกัน คุณแม่ของยองซุกก็ถูกฆ่าแทน ด้วยความที่ยองซุกเองก็ดูจะมีปัญหาทางจิตอยู่ประมาณนึงอยู่แล้ว และยังถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและโดนทรมานอีก ก็ส่งผลให้เธอเป็นคนที่โหยหาอิสรภาพ และไม่รู้สึกรู้สาในการทำร้ายคนอื่นแต่อย่างใด ฆาตกรโรคจิตถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว และแน่นอน ยองซุกก็จะคร่าชีวิตของคนจำนวนมาก ตามที่คุณแม่ของเธอได้ทำนายไว้นั่นแหละ

ไม่นานโซยอนก็ได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เมื่อคุณลุงเจ้าของไร่สตรอวเบอรี่อยู่ๆ ก็หายไป ไร่กลายเป็นที่รกร้าง คุณพ่อคุณแม่ของเธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคุณลุงคนนั้นเป็นใคร เหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งหมดนี่ เกิดขึ้นแค่ภายในชั่วพริบตาที่เธอเดินขึ้นไปชั้นสอง แล้วเดินกลับลงมาเท่านั้นเอง นั่นเพราะคุณลุงเจ้าของไร่สตรอวเบอรี่ในอดีต ไปคบกับยองซุก แล้วดันไปเจอศพของคุณแม่ยองซุกที่ถูกหมกไว้ในตู้เย็นเข้า ส่งผลให้ยองซุกต้องฆ่าเขาไป
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ขอใช้คำนี้จริงๆ) โซยอนก็เลยไปถามยองซุกว่าไปทำอะไรกับคุณลุง แล้วไปปล่อยข้อมูลที่เธอไม่ควรจะปล่อยให้ยองซุกรู้เลย นั่นก็คือ ไปบอกกับยองซุกว่าจะถูกจับในอีกไม่ช้า (เพราะในปัจจุบัน ไม่มียองซุกอยู่) นั่นส่งผลให้ฝันร้ายของเธอต้องบังเกิด เพราะยองซุกก็ขู่โซยอนให้หาข้อมูลมาช่วยให้ตนรอดตัวนั่นเอง … ที่เหลือ ต้องไปดูในหนังครับ เล่าต่อเดี๋ยวจะสปอยล์

พล็อตหนังเรื่องนี้มันสนุกตรงที่ได้ลุ้นเอาใจช่วยนางเอกว่าจะสู้กับฆาตกรโรคจิตที่อยู่ในอดีตได้ยังไง แม้เราจะรู้หมดว่าในอนาคตของฆาตกรจะเกิดอะไรขึ้น แต่คนในปัจจุบันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตได้เลย ซึ่งผิดกับเรื่อง Frequency ที่สามารถทำได้ เพราะพระเอกได้คุยกับคุณพ่อในอดีต แล้วให้คุณพ่อเป็นคนลงมือ แต่ในเรื่องนี้ คนในอดีตที่นางเอกคุยด้วยได้ก็มีแต่ตัวฆาตกรโรคจิตนั่นแหละ ในทางกลับกัน ฆาตกรโรคจิตสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ทุกอย่างจากการกระทำของตน แถมยองซุกยังรู้จักทั้งครอบครัวของโซยอนอีก เพราะเคยไปช่วยป้องกันอุบัติเหตุให้มาก่อน ในขณะที่ครอบครัวของโซยอนนั้นไม่รู้เลยว่ายองซุกเป็นฆาตกรโรคจิต
ถือเป็นหนังแนว Thriller ที่น่าสนใจ และมีให้ลุ้นไปตลอดทั้งเรื่อง โดยส่วนตัวผมชอบมาก แม้ว่าแอบรู้สึกว่านางเอกนี่หุนหันพลันแล่นไปนิด ตอนที่ไปต่อว่ายองซุกที่ฆ่าคุณลุงเจ้าของไร่สตรอวเบอรี่ แต่ก็เข้าใจได้ละนะ เพราะโซยอนคงคาดไม่ถึงในตอนนั้นว่ายองซุกจะเป็นฆาตกรโรคจิตได้ขนาดนี้ แต่การที่พล็อตเรื่องมันมาในแนวที่ไม่เปิดโอกาสให้นางเอกติดต่อใครคนอื่นในอดีตได้เลยเนี่ย ยิ่งทำให้ลุ้นมากๆ ว่า แล้วนางเอกจะสู้เอาตัวรอดจากฆาตกรโรคจิตคนนี้ได้ยังไง ซึ่งเอาจริงๆ นางเอกก็มีวิธีนะ แต่จะเป็นวิธีอะไรนั้น ให้ไปตามดูเอาเอง ผมงี้ทึ่งอะ
ป.ล. อย่าไปสับสนระหว่างเรื่อง The Call (2020) อีกเรื่อง ที่เป็นหนังสยองขวัญของอเมริกา ที่ดันชื่อเดียวกันแล้วก็ออกฉายปีเดียวกันซะงั้น เนื้อเรื่องนี่คนละแบบกันเลยนะฮะ