ถ้าถามผมว่าหูฟังแบบไร้สาย ครบวงจร สำหรับการทำงานแบบ Work from Home ของผม หรือเอาไว้ใช้ที่ออฟฟิศ จะเป็นตัวไหน? ผมคงตอบว่าคือ Plantronics Voyager Focus UC ครับ พอดีทางบริษัท Systems 2000 เขาส่งตัวใหม่มาให้แทนตัวเก่าที่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ผมเห็นว่าตอนนี้ราคาก็ลงมาจนน่าสนใจ และฟีเจอร์ต่างๆ ก็ยังไม่ได้เก่าอะไร เลยต้องขอถือโอกาสรีวิวซ้ำอีกรอบ เพราะรีวิวที่เคยทำไว้ก่อนหน้า มันก็ดับสูญไปกับบล็อกอันเก่าแล้ว
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
อย่างที่ได้เกริ่นนำไปแล้วข้างต้น หูฟัง Plantronics Voyager Focus UC ตัวนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจากบริษัท Systems 2000 เขาส่งมาให้ใช้แทนตัวเก่าที่ผมใช้อยู่ แล้วเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ก็เลยถือโอกาสรีวิวซ้ำให้อีกรอบ เพราะรีวิวก่อนหน้ามันหายไปกับบล็อกเก่าที่เลิกทำแล้ว รีวิวครั้งนี้จะได้เล่าประสบการณ์ใช้งานในระยะยาวๆ ให้ได้อ่านด้วยครับ
ตัว Plantronics Voyager Focus UC เป็นรุ่นสำหรับใช้งานในองค์กรครับ ตัวกล่องใส่เลยไม่ได้เน้นความสวยงามเท่าไหร่ แกะกล่องออกมาเราจะเห็นหูฟัง พร้อมคู่มือแบบง่ายๆ ติดมากับหูฟังด้วยและมีการให้ URL สำหรับไปดาวน์โหลดคู่มือการใช้งานอีก แล้วก็มีแท่นชาร์จ ตัว USB dongle กับซองใส่หูฟังใส่มาให้ด้วย

ตัวหูฟังเป็นแบบ On-ear หรือแปะไว้บนหูเฉยๆ ครับ ดีไซน์ดูเบาๆ หนักแค่ 155 กรัม ก้านหูฟังสามารถยืดยาวได้อีก 9 ระดับ ทีละประมาณ 2 มม. หรือพูดง่ายๆ สามารถยืดยาวได้อีกฝั่งละประมาณ 2 เซ็นติเมตร รวมเป็น 4 เซ็นติเมตร และแม้ว่าตัวก้านจะเป็นโลหะ แต่ก็จะมีแถบ Headband ที่ทำจากวัสดุนุ่มๆ หุ้มหนังเทียมขึงเอาไว้อยู่ เพื่อรองรับศีรษะของเรา ให้สวมใส่แล้วสบาย

ตัวหูฟังมีการบุฟองน้ำนุ่มๆ หุ้มด้วยหนังเทียม สวมหูฟังแล้วสบาย และหูฟังไม่รู้สึกร้อนมากนัก เพราะมันเป็นแบบ On-ear ก็เลยไม่ได้ครอบหูซะโดยสมบูรณ์ พวกปุ่มควบคุมต่างๆ และไมโครโฟน จะอยู่บนหูฟังทั้งสองข้าง คือ

● หูฟังด้านขวามีไมโครโฟนสำหรับสนทนา เป็นแบบมีไมโครโฟนสามตัว พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน เพื่อให้คู่สนทนาได้ยินเราชัดเจน มีปุ่มโทรศัพท์ (ยกหู วางหู) ซึ่งใช้เป็นปุ่มเรียกใช้งานแอป Microsoft Teams ในตัวด้วย มีสวิตช์เปิด-ปิดหูฟัง ที่สามารถใช้เปิดโหมดจับคู่อุปกรณ์ (Paring) ได้ด้วย และตรงก้านไมโครโฟนก็มีปุ่มเล็กๆ อีกปุ่ม เอาไว้เปิดฟีเจอร์ OpenMic ครับ (เดี๋ยวค่อยมาเล่าว่าฟีเจอร์นี้เป็นยังไง) และหากกำลังโทรศัพท์อยู่ ปุ่มนี้จะทำหน้าที่เป็นการ Mute เสียงไมโครโฟน พอร์ตสำหรับชาร์จแบตเตอรี่อย่าง Micro USB หรือขั้วชาร์จสำหรับชาร์จกับแท่นชาร์จ ก็อยู่ที่หูฟังข้างนี้แหละ
● หูฟังด้านซ้ายจะมีปุ่มควบคุมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เปิด-ปิด ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก (Active Noise Cancellation) ส่วนตัวหูฟังเนี่ย จะเป็นปุ่มควบคุมการเล่นเพลง ได้แก่ เล่น-หยุด เล่นเพลงก่อนหน้า เล่นเพลงถัดไป และสามารถหมุนตัว Jog dial เพื่อปรับระดับความดังของเสียงได้
ประสบการณ์ในการใช้งาน Plantronics Voyager Focus UC ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
ใช่ครับ อ่านไม่ผิด ตัวเก่าที่ผมใช้อะ ได้มา 5 ปีที่แล้ว และเป็นหูฟังตัวโปรดในการใช้งานที่ออฟฟิศเอาไว้ใช้ทั้งประชุมออนไลน์ ยันดูหนังฟังเพลงได้เลย เลยขอเอามาเล่าประสบการณ์ในการใช้งานให้อ่านกันดังนี้ครับ
ในแง่ของการสวมใส่ใช้งาน น้ำหนัก 155 กรัม ถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับพวกหูฟังแบบ Over-the-ear อันใหญ่ๆ ที่ปกติจะหนักสองร้อยกว่ากรัม และก้านหูฟังก็มีความยืดหยุ่น ไม่แข็งมาก แถมยืดออกมาได้ยาวอีกข้างละ 2 เซ็นติเมตร ดังนั้น มันก็เลยใส่สบายในทุกๆ ไซส์ของศีรษะ และการใส่เจ้านี่ยาวๆ ระดับ 2-4 ชั่วโมงต่อเนื่องถือว่าสบายมาก
พูดถึงเรื่องคุณภาพเสียง ด้วยความที่เป็นหูฟังที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานคุยโทรศัพท์ หรือประชุมออนไลน์ด้วย เสียงเลยเน้นไปที่ย่านกลางซะมาก เพื่อให้เสียงสนทนาชัดเจน เสียงสูงไม่เน้นมากจนแสบแก้วหู เสียงย่านต่ำให้เบสออกมาเป็นลูกดี แต่ไม่ถึงกับตึบสุดๆ เอามาฟังเพลงหรือดูหนัง ก็มั่นใจว่าน่าจะเก็บเสียงเครื่องดนตรีไว้ได้ครบถ้วนแหละ
ส่วนฟีเจอร์นี่ แม้จะออกวางจำหน่ายมาอย่างน้อยๆ 5 ปีแล้ว ฟีเจอร์ก็ไม่ได้เก่าเลยนะครับ จริงๆ ต้องบอกว่าหูฟังสมัยใหม่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้มีฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ เด่นๆ มากนักหรอก
● ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก (Active Noise Cancellation: ANC) ของ Plantronics Voyager Focus UC ตัวนี้ทำได้ค่อนข้างดี ตัดพวกเสียงหึ่งๆ ออกไปได้สบายๆ พอเปิดเพลงฟังแล้วแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอกเข้ามารบกวนความสุขในการดื่มด่ำกับเพลงของเราเลย
● ฟีเจอร์ OpenMic จะใช้ได้ตอนที่เราใช้หูฟังเพื่อฟังเพลง ดูหนัง อะไรพวกนี้ คือ หูฟังจะรับเสียงภายนอกเข้ามาให้เราได้ยิน เพื่อที่เราจะได้สามารถพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องถอดหูฟังออก แต่หูฟังก็จะตัดเสียงใดๆ ก็ตามที่เรากำลังฟังอยู่ (ไม่ว่าจะเป็นเพลง หรือ หนัง) ออกไปนะครับ เพื่อให้เรามีสมาธิฟังเสียงรอบข้างได้เต็มที่
● ในการสนทนาโทรศัพท์หรือประชุมออนไลน์ ไมโครโฟนก็ตัดเสียงรบกวนได้ดีมาก ขนาดเอาไมโครโฟนไปจ่อพัดลมแล้ว หรือพิมพ์บนคีย์บอร์ดแบบ Mechanic ดังแก๊กๆ คู่สนทนานี่ไม่รู้เลยว่ามีเสียงรบกวน แต่เท่าที่ผมใช้มา ต้องปิด ANC ก่อนนะครับ ไม่งั้นไมโครโฟนสำหรับทำ ANC จะเอาเสียงลมเข้ามาในหูฟังฝั่งเราแทนซะงั้น
● Smart sensor ช่วยตรวจจับการสวมใส่หูฟังได้ ถ้าเราถอดหูฟังออก เพลง หรือ หนังที่เราดูอยู่ก็จะหยุดเล่น และจะเริ่มเล่นต่อเมื่อเราสวมหูฟัง
● เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้หลายๆ ชิ้นพร้อมกัน และสะดวก โดยเฉพาะถ้ารุ่น Voyager Focus UC นี่จะมี USB dongle ให้เสียบกับคอมพิวเตอร์หรือพวก VoIP phone เพื่อเชื่อมต่อแบบไร้สาย โดยไม่ต้องผ่านบลูทูธ ส่วนพวกสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ก็ใช้บลูทูธแทนครับ และแม้ว่ามันจะเป็น Bluetooth 4.1 (ปัจจุบันเขาใช้ Bluetooth 5.0 กันแล้ว) แต่มันก็เป็น Class 1 ที่ให้ระยะการเชื่อมต่อไกลมาก ระยะไกลสุดนี่ได้ 30 เมตรเลย (จะได้ใกล้ไกลแค่ไหนอยู่ที่สภาพแวดล้อมด้วย)
● หูฟังถูกทำออกมารองรับทั้งคนถนัดซ้ายและขวา ก้านไมโครโฟนมันสามารถหมุนไปได้เกือบ 360 องศา ทำให้สามารถสลับหูฟังข้างซ้ายและข้างขวาได้ตามถนัด แล้วตัวหูฟังจะสลับเสียงซ้ายขวาให้เหมาะสมกับตำแหน่งของก้านไมโครโฟนโดยอัตโนมัติ

● แบตเตอรี่ ตอนเปิด ANC เพียงพอสำหรับใช้งานดูหนังฟังเพลงต่อเนื่องได้ประมาณ 11 ชั่วโมง ถือว่าเหลือเฟือสำหรับใช้งานทั้งวัน แล้วค่อยชาร์จตอนเย็น แต่ในทางปฏิบัติ พอไม่ได้ใช้ผมก็เอาไปวางบนแท่นชาร์จเพื่อชาร์จแบตเตอรี่แล้วล่ะ
ที่ต้องระวังคือตัววัสดุที่เป็นพลาสติกคล้ายๆ ยาง ซึ่งไอ้ส่วนที่เป็นยางเนี่ยมันคือสารเคลือบครับ พอเวลาผ่านไปนานๆ ถ้าเราไปเก็บไว้ในห้องที่อุณหภูมิสูงๆ หน่อย มันจะมีลักษณะละลายเหนียวๆ ฮะ แต่ไม่ต้องห่วงครับ มันมีทางแก้คือเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลชุปผ้ามาเช็ดๆ ก็จะเอาไอ้สารเคลือบเหนียวๆ ออกได้ เหลือแต่เนื้อพลาสติกครับ
บทสรุปการรีวิว Plantronics Voyager Focus UC
Plantronics Voyager Focus UC นี่เป็นทางเลือกของคนที่อยากได้หูฟังไร้สายที่พกพาไปไหนมาไหนก็ได้ ดีไซน์สวยงาม แบตเตอรี่อึด เสียงดี ใช้ได้ทั้งดูหนังฟังเพลง สนทนาโทรศัพท์และประชุมออนไลน์ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ดีกว่าพวกหูฟังพรีเมียมทั่วๆ ไปในระดับราคาเดียวกัน
ด้วยราคาระดับพรีเมียมอย่าง 8,900 บาท มันมีข้อจำกัดกว่าพวกหูฟังพรีเมียมรุ่นใหม่ๆ ตรงที่มันใช้เทคโนโลยีของ 5 ปีก่อนอย่าง Bluetooth 4.1 (ซึ่งจริงๆ ทันสมัยฝุดๆ ในยุคนั้นเลยนะ) และพอร์ตชาร์จแบบ USB-C อยู่ แต่ฟีเจอร์พื้นฐานในฐานะหูฟังนี่ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าหูฟังพรีเมียมยุคนี้เลยนะ