ในฐานะที่ได้รีวิว Fitbit Versa มาตั้งกะรุ่นแรก เรื่อยมาจนถึงรุ่นสอง (แต่รีวิวของรุ่นแรกนี่อยู่ในเว็บเก่าที่ไม่ได้ต่ออายุโดเมนแล้ว) และล่าสุดนี่เขาส่งรุ่นสามมาให้ลอง ก็ต้องบอกเลยว่า Fitbit Versa นี่เป็นสมาร์ทวอทช์ที่สวย มีฟีเจอร์ที่ครบครันเลยทีเดียว หลังจากได้ใส่ลองมา 1 สัปดาห์แล้ว ก็ได้เวลาที่จะมาเล่าสู่กันอ่าน ถึงประสบการณ์ในการใช้งานครับ
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
Fitbit Versa 3 ที่รีวิวในครั้งนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อมาจากทาง Fitbit Thailand ให้มาลองใช้ เพื่อเอาประสบการณ์ในการใช้งานมาเล่าสู่กันอ่าน ผมไม่ได้เป็นสายออกกำลังกาย ก็จะขอรีวิวในฐานะมนุษย์เงินเดือน ที่ซื้อสมาร์ทวอทช์มาเพื่อใช้แจ้งเตือน ใช้ตรวจจับกิจกรรมบางอย่าง และพูดถึงฟีเจอร์ที่สมาร์ทวอทช์ตัวนี้ทำได้ให้ได้อ่านกันนะครับ
เช่นเคยครับ แพ็กเกจของ Fitbit Versa 3 นี่ถือว่าสวยงามสไตล์ Fitbit งวดนี้ดีไซน์การเปิดกล่องสวยด้วย (ขออภัยที่ไม่ทันได้ถ่ายรูปหรือวิดีโอเก็บไว้ให้ดู) แต่เอาเป็นว่า เปิดออกมา จะเจอที่ชาร์จอยู่ทางขวา ตัวเรือนนาฬิกาอยู่ตรงกลาง และสายนาฬิกาแบบที่ยาวขึ้นจะอยู่ทางขวา
ตัวนาฬิกาของ Fitbit Versa 3 ยังดีไซน์มาสไตล์ของ Versa 2 ครับ แต่ว่ามีให้เลือกสามสี คือ กรอบทองสายสีชมพู ซึ่งสวยมากสำหรับสาวๆ ที่ชอบสีหวานๆ สีดำ ที่ดูขรึมๆ สำหรับคุณผู้ชาย และกรอบทองสายสีน้ำเงิน แบบที่ผมว่าจะท่านหญิงหรือท่านชาย ก็ใส่แล้วเข้ากันได้ดี ซึ่งตัวที่ผมได้มารีวิว คือสีน้ำเงินนี่แหละ

ตัวเรือนมีปุ่มแค่ปุ่มเดียว เป็นแบบ Pressure button คือ มีลักษณะเป็นร่องเซาะลงไปในตัวเรือน เวลาจะกดก็ต้องออกแรงกดลงไปตรงนั้นครับ คล้ายๆ ปุ่ม Home ของ iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus อะไรทำนองนี้

สายยังถอดเปลี่ยนได้ง่าย และผมมองว่าง่ายกว่ารุ่นเก่าๆ อย่าง Ionic อีก ใส่ก็ง่ายมาก แต่ตัวล็อกถือว่าแข็งแรง แน่นหนาดี ดีไซน์การใส่มีการเปลี่ยนแปลงไปครับ ใส่ตอนแรกๆ จะงงๆ นิดหน่อย แต่ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แป๊บเดียวคุ้น
หน้าจอของ Fitbit Versa 3 มีขนาดหน้าจอขนาด 1.58 นิ้ว แบบ AMOLED เหมือนรุ่นก่อน ซึ่งเป็นหน้าจอประเภทที่ผมชอบ เพราะนอกจากให้สีดำที่ดำสนิท เวลาดูตอนกลางคืนแล้วไม่รู้สึกรำคาญแสงจาก Backlight ที่แยงออกมาจนทำให้สีดำดูเทาๆ แทนแล้ว มันยังให้สีสันอื่นๆ ที่ชัดจัดจ้านดีแท้ และทำให้มันมาพร้อมกับโหมด Always on หรือ หน้าจอนาฬิกาติดตลอดเวลา สำหรับคนที่เคยตัวกับการที่เห็นนาฬิกาตลอดเวลา ไม่ต้องมารอมันเปิดหน้าจอเวลายกแขนขึ้นมาดูเวลา

ด้านหลังของ Fitbit Versa 3 ก็จะมีเซ็นเซอร์ที่เอาไว้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ผ่านเทคโนโลยี PurePulse 2.0® ของ Fitibt และก็สามารถตรวจเรื่อง SpO2 หรืออัตราความอิ่มตัวของออกซิเจนในกระแสเลือดได้เหมือนตอน Fitbit Versa 2 ด้วย
งวดนี้มีการดีไซน์สายชาร์จซะใหม่ด้วย จากเดิมที่จะเป็นแบบ Clamp ต้องหนีบให้ตรงกับขั้วชาร์จ ก็กลายเป็นแบบแม่เหล็ก ติดได้ค่อนข้างแน่น และเป๊ะมากขึ้นมาก บอกเลยว่าชอบ
ประสบการณ์ในการใช้งาน Fitbit Versa 3
ดีไซน์ของ Fitbit Versa 3 เป็นแนวสมาร์ทวอทช์ที่สวยงาม ดูเป็นแฟชั่น สามารถสวมใส่ได้เก๋ๆ ในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ที่อยากได้เอาไว้ติดตามกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งยามตื่นไปจนถึงยามหลับ รวมถึงแม้กระทั่งตอนออกกำลังกาย น้ำหนักค่อนข้างเบา
แน่นอนว่าดีไซน์ออกมากันน้ำกันฝุ่นได้ดี เพราะทั้งตัวเรือนนี่นอกจากรูไมโครโฟนแล้ว นึกไม่ออกว่าจะมีรูไหนที่น้ำจะเข้าได้เลยครับ ทำให้เจ้านี่กันน้ำได้ลึกสุดคือ 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำ ดำน้ำ อาบน้ำ สบายๆ

ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นสามที่ทำให้แตกต่างจาก Fitbit Versa รุ่นก่อนๆ ก็คือ GPS ครับ ทำให้ตอนนี้นักวิ่ง นักปั่น สามารถใช้ Fitbit Versa 3 ตรวจจับระยะทาง และเส้นทางการวิ่งการปั่นได้เรียบร้อยแล้ว

ที่สำคัญ เมื่อใช้ร่วมกับแอป Fitbit บนสมาร์ทโฟน เราจะสามารถมาดูข้อมูลย้อนหลังได้ด้วยว่าเส้นทางที่เราไปเป็นยังไง ระยะทาง ความเร็วช่วงไหนเป็นยังไง อัตราการเต้นของหัวใจล่ะ (ในตัวอย่างในภาพด้านบน ผมทดสอบด้วยการขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้านะครับ เพราะผมไม่มีจักรยาน มันเลยไม่สามารถแสดงข้อมูลพวก Heart zone และ Speed ได้เหมือนกับการขี่จักรยานจริง)

นอกจากนี้ก็มีเรื่องการติดตามผลการนอนหลับของเรา ซึ่งเป็นฟีเจอร์นึงที่ค่อนข้างโดดเด่นของ Fitbit ทุกรุ่นอยู่แล้ว และงวดนี้นอกจากจะตรวจจับช่วงที่เราตื่น กระสับกระส่าย หลับลึก อะไรพวกนี้ได้แล้ว มันก็ยังมีการให้คะแนนการหลับของเราได้ด้วยนะ แต่ที่ผมแปลกใจคืองวดนี้มันแสดงผลแปลกๆ อยู่ เพราะ
● บางวันมันก็ให้คะแนน บางวันมันก็ไม่ได้ให้คะแนน ไม่แน่ใจว่าระบบเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์
● มีบางช่วงที่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้นอนแน่ๆ แต่ผมถอด Fitbit Versa 3 วางไว้อยู่ แล้วเซ็นเซอร์มันคงทำงานหรืออะไรซักอย่าง ทำให้มันนึกว่าผมกำลังนอน ซึ่งตอนผมใช้ Versa หรือ Versa 2 หรือ Ionic ไม่เคยเจอว่ามันตรวจจับผิดพลาดแบบนี้ แต่ในตอนที่มันตรวจจับตอนนอนปกติของผม มันก็ตรวจจับได้แม่นอยู่นะ กระทั่งตอนไหนผมตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ มันก็รู้

ในส่วนของชีวิตประจำวัน เจ้านี่ยังคอยวัดอัตราการเต้นของหัวใจให้เราได้ตลอดเวลา ช่วยเรานับก้าว และหากเราตั้งเวลาเอาไว้ มันก็จะคอยเตือนให้เราลุกขึ้นมาขยับตัว มาเดินไปเดินมาด้วย และในฐานะสมาร์ทวอทช์ มันช่วยคอยส่งการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนของเรามาที่ตัวนาฬิกา (แต่เราต้องตั้งค่าก่อนนะ) ซึ่งทำได้ดีซะทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ มันยังไม่รองรับภาษาไทย 😅😅😅

หากสมัครใช้บริการ Fitbit Premium (ค่าบริการเดือนละ 300 บาท หรือ 2,500 บาทต่อปี) ก็จะมีเรื่อง Breathing rate, Heart Rate Variability หรือความแตกต่างของเวลาระหว่างการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นสัญญาณของความเครียด ความเหนื่อยล้า หรืออาการป่วยไข้ เพิ่มเข้ามาให้ด้วย ซึ่งผมยังแอบรู้สึกว่า Fitbit น่าจะให้ข้อมูลพวกนี้เป็นฟีเจอร์ที่เข้าถึงได้ฟรีๆ มากกว่า เพราะมันมาจากเซ็นเซอร์ของตัว Fitbit Versa 3 อยู่แล้ว บริการ Fitbit Premium น่าจะเป็นบริการเสียเงินเพื่อเข้าถึงอะไรบางอย่างที่เพิ่มขึ้น เช่น อาจจะเก็บข้อมูลสุขภาพพวกนี้ได้ยาวนานขึ้น อารมณ์ประมาณว่า ถ้าไม่มี Fitbit Premium อาจจะเข้าถึงได้ 7-14 วัน แต่ถ้าอยากดูได้ยาวๆ ไม่จำกัด ก็ต้องสมัคร อะไรแบบนี้ แล้วมันอาจจะมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มมาให้ เพื่อปรับปรุงสุขภาพเราให้ดีขึ้นจากข้อมูลที่ได้ อะไรแบบนี้
Fitbit Premium ยังเพิ่มเรื่องคลิปการออกกำลังกายจากสตูดิโอชื่อดังๆ อย่าง Daily Burn, Physique 57 แล้วก็จากพวกเทรนเนอร์ชื่อดังๆ อย่าง Aaptiv, Aura, Breethe หรือ Ten Percent Happier เข้ามาด้วย
ประโยชน์ของจอ AMOLED ก็คือมันประหยัดพลังงานกว่าพวกจอ LCD จึงไม่แปลกที่ Fitbit Versa 3 ก็สามารถใช้งานได้สูงสุดราวๆ 6 วัน ต่อให้ใช้งาน GPS บ้างซัก 1-2 ชั่วโมง แบตเตอรี่ก็ยังเหลือมากพอที่จะใช้งานต่อได้ครบวัน ส่วนหน้าจอสัมผัสของ Fitbit Versa 3 นั้น ตอบสนองกับการสัมผัสได้ค่อนข้างดี รูปแบบของ Gesture เข้าใจได้ไม่ยาก
● ปัดจากบนลงล่าง คือการเรียก Notification มาดู
● ปัดจากขวาไปซ้าย คือการเรียกเมนูแอป หรือฟีเจอร์ต่างๆ ของ Fitbit Verssa 3
● ปัดจากซ้ายไปขวา คือ Quick settings ที่เอาไว้เปิด-ปิดฟีเจอร์บางอย่างแบบไวๆ
● ปัดจากล่างขึ้นบน คือการเรียกดูข้อมูลต่างๆ เช่น สภาพอากาศวันนี้ และพวกสถิติกิจกรรมต่างๆ ที่เซ็นเซอร์ได้เก็บข้อมูลเอาไว้
และหากใครอยากให้หน้าจอมันแสดงผลนาฬิกาตลอดเวลา ก็เปิด Always on ได้ครับ แต่อายุแบตเตอรี่จะหดลงมาเหลือราวๆ 2 วันเศษๆ ครับ เท่าที่ผมลองใช้งานดู ก็ชาร์จบ่อยหน่อย หรือบางทีไม่ทันระวัง แบตเตอรี่อาจจะเกือบหมดตอนระหว่างวัน แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ที่ชาร์จของ Fitbit อะ มันรองรับ Fast charge แค่ชาร์จแบต 12 นาที ก็ได้แบตเตอรี่มามากพอที่จะใช้งานต่อได้อีกทั้งวัน (ไม่เปิด Always on นะ)
ตัว Fitbit Versa 3 มีทั้งไมโครโฟนแล้วลำโพงในตัว สามารถใช้เป็น Handfree ในการสนทนาโทรศัพท์ได้เลย สะดวกเวลาที่กำลังขับรถอยู่มาก เพราะสามารถรับโทรศัพท์และคุยได้เลย ในรถมันก็เงียบพอที่จะได้ยินเสียงชัดเจน แต่ฟีเจอร์นี้ยังไม่เปิดให้ใช้นะครับ คงต้องรออัปเดตเฟิร์มแวร์ก่อน ผมก็เลยยังไม่ได้ลองทดสอบ … แต่เท่าที่ลองใช้งานดู พบว่าสมาร์ทโฟนของผม (Samsung Galaxy Z Fold 2) มันส่งการแจ้งเตือนว่ามีคนโทรเข้าไปที่ Fitbit Versa 3 ค่อนข้างช้าแฮะ คือ ผมคาดหวังว่าเจ้านี่จะสั่นและแจ้งว่ามีคนโทรเข้าก่อนที่มันจะเด้งขึ้นมาบนสมาร์ทโฟนนะ เพื่อที่ผมจะได้กดรับก่อนที่สมาร์ทโฟนจะร้องเรียก แต่นี่คือ การแจ้งเตือนมันเด้งมาหลังจากเสียงเรียกเข้าของสมาร์ทโฟนดังไปราวๆ เกือบ 2 วินาที
แต่การแจ้งเตือนอื่นๆ ไม่ได้เด้งช้าขนาดนั้น ผมก็เลยแปลกใจว่า เอ๊ะ การแจ้งเตือนว่ามีคนโทรมามันแตกต่างกันยังไงหว่า … ปัญหานี้อาจจะหายไป ถ้าเกิดอัปเดตเฟิร์มแวร์
และเพราะมีไมโครโฟนในตัว เจ้านี่ก็เลยใช้คำสั่งเสียงกับพวก Google Assistant หรือ Amazon Alexa ได้ด้วย ก็สะดวกขึ้น

หน้าปัดนาฬิกา มีให้ดาวน์โหลดเป็นร้อยๆ แบบ ไปเลือกดาวน์โหลดได้ มีให้เลือกสองแบบด้วย คือ หน้าปัดนาฬิกาปกติ และหน้าปัดนาฬิกาในโหมด Always on เลือกเอาได้เลย แต่ต้องระวังนะครับ อันไหนมีสีสันดุเดือด จะทำให้แบตเตอรี่มันโดนสูบไปเยอะขึ้น ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรเลือกอันที่มีพื้นที่ที่เป็นสีดำเยอะที่สุดครับ
ในแง่ของความทนทาน ดีไซน์ของ Fitbit Versa 3 นี่กระจกล้ำออกมาค่อนข้างชัดเจน หากเผลอทำตกแล้วมุมมันพอดี โอกาสจอแตกมีแน่นอนครับ นี่ไม่นับเรื่องที่ใช้งานทั่วๆ ไป ก็อาจจะมีรอยขนแมวได้ อะไรแบบนี้ ณ ตอนนี้เท่าที่เห็น ก็จะมีขายฟิล์มกันรอยแบบพลาสติก ที่ติดยากมาก ถ้าใครเก่งเรื่องติดฟิล์มกันรอยสมาร์ทโฟน ไม่น่าพลาด แต่สำหรับคนไร้ความปราณีตแบบผม ผมซื้อมาสองอัน ติดเจ๊งหมดครับ แต่ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าไอ้ฟิล์มนี่เป็นรอยง่ายแหงมๆ อีกทางนึงคือซื้อเคสมาใส่เลย นี่กดสั่งซื้ออยู่ของยังมาไม่ถึง แต่มันไม่ใช่ของ Official นะ แต่ก็ดีฮะ ไม่แพง

แต่ใครจะใช้แบบเปลือยๆ ไม่ติดอะไรเพิ่มก็โอเคนะ ดูแลรักษาดีๆ หน่อย เท่าที่ผมลองใส่มาเกือบสองสัปดาห์ แบบเปลือยๆ แถมเอามาขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าด้วย ใส่นอนด้วย ก็ยังไม่พบว่าเกิดรอยขนแมว หรือรอยแผลใดๆ บนหน้าจอหรือตัวเครื่องนะ ทั้งๆ ที่ก็มีเผลอไปกระแทกกับขอบประตูเบาๆ อะไรแบบนี้บ้างแล้วก็ตาม
บทสรุปการรีวิว Fitbit Versa 3
ค่าตัวของเจ้านี่คือ 9,190 บาท ถือว่าอยู่ในโซนกลางๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายๆ ยี่ห้อ จุดแข็งที่ยังยืนหนึ่งก็คือเรื่องความสามารถในการตรวจจับกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ดีไซน์ที่สวยงามแบบที่ว่าใส่มันตั้งกะไปทำงาน เที่ยว ออกงานสังคม ยันออกกำลังกาย จบในเรือนเดียวได้