คุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญของโซเชียลมีเดียคือ การเป็นที่รวมตัวของคนที่คิดเหมือนๆ กัน (Like-minded people) ครับ บนเฟซบุ๊กมันจะมีอัลกอริทึมที่จะเฟ้นหาเนื้อหาที่ผู้ใช้งานสนใจมานำเสนอบนฟีด ผู้ใช้งานเองก็จะไปกดไลค์และกดติดตามเพจ หรือบุคคลที่ตนเองสนใจ บนทวิตเตอร์ก็เช่นกัน ผู้ใช้งานก็จะไปกดติดตามบัญชีอื่นๆ ที่มีเนื้อหาที่เขาสนใจ และทวิตเตอร์เองก็จะมีการคัดเลือกแฮชแท็กที่ติดเทรนด์ ที่ผู้ใช้งานคนนั้นๆ อาจจะสนใจ ส่งผลให้ โดยปกติแล้ว เนื้อหาที่ปรากฏอยู่บนฟีดหรือบนไทม์ไลน์ของเรา มักจะเป็นสิ่งที่เราสนใจ ถูกใจ หรือคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเรา และพลังแห่งการคิดเหมือนกันนี่แหละ มันแรงกว่าที่เราคิดเยอะนะเออ
อิทธิพลกลุ่ม (Group polarization) และ อคติในการยืนยัน (Confirming bias)
เมื่อคนที่คิดคล้ายๆ กันมาอยู่ด้วยกัน วันๆ ก็ได้เห็นแต่เนื้อหาที่สอดคล้องกับความคิดของเรา ได้พูดคุยแต่กับคนที่คิดเห็นคล้ายๆ เรา มันเสี่ยงต่อการติดกับดักทางจิตวิทยาสองเรื่อง เวลาที่จะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง นั่นก็คือ อิทธิพลกลุ่ม และ อคติในการยืนยัน ครับ
อิทธิพลกลุ่ม หรือ Group polarization คือปรากฏการณ์ที่เวลาคนมีความเห็นคล้ายๆ กันมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มแล้ว การตัดสินใจของพวกเขาจะมีโอกาสออกมาในแนวสุดขั้ว (Extreme) กว่าในกรณีที่เราให้เขาตัดสินกันตัวคนเดียว ซึ่งนักจิตวิทยาวิเคราะห์กันว่าที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะ เวลาคนที่มีความเห็นคล้ายๆ กันมาอยู่ด้วยกัน ความคิดเห็นของคนอื่นๆ ที่คล้ายกับเรา มันจะกลายเป็นเครื่องยืนยันความเชื่อ หรือความเห็นของเราไป เราจะรู้สึกว่า ถ้าคนอื่นๆ ก็คิดแบบเดียวกับเรา แสดงว่าสิ่งที่เราคิดย่อมถูกต้อง และต่อให้ตอนแรกๆ เราไม่ได้มีความคิดเห็นสุดขั้วอะไรขนาดนั้น แต่อิทธิพลของทัศนคติของกลุ่ม (Group’s attitude) มันจะเข้ามาส่งผลต่อทัศนคติของเราให้คล้อยตามไปได้ในที่สุด
อคติในการยืนยัน หรือ Confirming bias คือ พฤติกรรมที่คนเราจะพยายามหาข้อมูลมาสนับสนุนตัวเองว่าสิ่งที่เราคิดหรือเชื่อ มันถูกต้องแล้ว เพราะคนเราย่อมไม่ค่อยอยากยอมรับว่าตนเองคิดผิด หรือเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ นั่นเอง และเพราะเหตุนี้ อคติในการยันยืน จึงมักทำให้เราพยายามปฏิเสธเหตุผลของอีกฝ่าย แม้ว่าข้อมูลของอีกฝ่ายจะน่าเชื่อถือหรือถูกต้องก็ตาม
ฉะนั้นจึงไม่ค่อยแปลก เวลาที่เราเห็นกรณีเกิดดราม่าขึ้นมา พอทัวร์มาลงหนักเข้าเรื่อยๆ ความรุนแรงของการแสดงออกก็เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น นั่นเพราะว่าผู้เข้าร่วมนั้นเริ่มเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องและสมเหตุสมผลแล้ว และเมื่อเห็นคนอื่นเขาแสดงออกรุนแรงบ้าง เขาก็คิดกันว่านั่นคือสิ่งที่ทำได้ ไม่ผิดอะไร และเมื่อเห็นกันเยอะๆ เข้า ความรุนแรงมันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนถ้าใครที่เห็นต่างเข้ามาคัดค้าน ก็จะถูกปฏิเสธโดยทันที และอาจมีการไปหาเหตุผลมายืนยันความเชื่อของตนเองอีก ซึ่งอาจจะเป็นการอ้างอิงเนื้อหาที่ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียคนอื่นได้โพสต์เอาไว้ (ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้) มาสนับสนุนความคิดหรือความเชื่อของตน ซึ่งเมื่อได้เห็นว่ามีคนอีกจำนวนมาก ที่คิดหรือเชื่อเหมือนกับตนเอง ก็จะยิ่งเชื่อมั่นเข้าไปอีกว่า สิ่งที่ตนคิดและเชื่ออยู่นั้น ถูกต้องแล้ว

และเพราะอิทธิพลกลุ่มนี่แหละครับ ที่ทำให้เราได้เห็นบ่อยครั้งเมื่อมีการเกิดชุมนุมประท้วงแล้วมันนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ตอนแรก แต่ละคนที่ไปไม่ได้คิดว่าจะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยด้วยซ้ำ ลองนึกถึงกรณี Black Lives Matter ที่ผู้คนลุกฮือกันทั่วโลก และเกิดความรุนแรงในหลายประเทศได้ครับ ภาพด้านบนเป็นตอนที่ตำรวจในกรุงปารีสต้องยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสกัดฝูงผู้ชุมนุม หลังจากที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ซึ่งในการชุมนุมครั้งนี้ มีผู้ร่วมกว่า 20,000 คน
แล้วทำยังไง ถึงจะหลุดจากกับดักของอิทธิพลกลุ่มและอคติในการยืนยันได้?
สติและการไตร่ตรองคือสองสิ่งสำคัญครับ เริ่มจากสติก่อนเลยคืออย่าวู่วาม อย่าผลีผลาม หยุดคิดซักนิดก่อนที่จะตัดสินใจ หรือเชื่ออะไร และไตร่ตรองว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นข้อเท็จจริงเป็นยังไง อย่าเพิ่งเอาความคิดที่ว่าสิ่งนั้นมันตรงกับใจคิดของเราหรือเปล่ามาพิจารณา มองไปที่ข้อเท็จจริง จริงๆ ของมัน ลองหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายๆ แหล่งมาวิเคราะห์และตัดสินใจ หากรู้สึกว่าตัวเเองทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ เขาว่าให้หาคนที่เรารู้จัก ที่เป็นกลาง และเราพร้อมที่จะรับฟังเขา มาคอยเรียกสติของเราให้กลับมามองทุกอย่างอย่างมีเหตุผลครับ
ยิ่งบนโลกออนไลน์แบบนี้นะ การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital literacy นี่สำคัญอย่างมากครับ
ภาพประกอบปกบล็อกโดย Background vector created by pikisuperstar – www.freepik.com