ปกติผมใช้ iPad Pro 10.5″ กับ Smart keyboard case ของ Apple เลยครับ แพงได้ใจมาก แต่ช่วงนี้มันมีปัญหาว่าบางทีอยู่ๆ ก็พิมพ์ไม่ติด ต้องแกะคีย์บอร์ดออก แล้วใส่ใหม่ ถึงจะใช้ได้ ผมก็เลยไปมองหาทางเลือกที่เป็นคีย์บอร์ดไร้สายพร้อมเคสดูบ้าง และด้วยความที่ iOS 13 ก็ออกแบบมาให้ใช้กับพวก TouchPad ได้แล้ว ก็เลยมาปิ๊งกับเจ้านี่ Genius Keyboard Case รุ่นใหม่ รุ่น Folio ที่ดูจากข้อมูลแล้ว ใช้ปุ๊บ iPad Pro 10.5″ นี่เป็นโน้ตบุ๊กย่อมๆ ได้เลย วันนี้ได้ของแล้ว เลยเอามารีวิวให้ได้อ่านกัน
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
เช่นเคย บล็อกตอนนี้ ซื้อเอง ใช้เอง รีวิวเองล้วนๆ ทางร้านไม่ได้มีการสนับสนุนผมแต่อย่างใด (จริงๆ ร้านคงไม่รู้ด้วยว่าผมเป็นบล็อกเกอร์ … ฮา) ผมซื้อเพราะสนใจ และเห็นว่าเจ้าของร้านเป็นคนไทย ที่มุ่งพัฒนาคีย์บอร์ดไร้สายดีๆ ให้คนได้ใช้ เลยไปจัดมาลอง แล้วรีวิวให้ได้อ่านกัน ถูกใจก็ไปกดซื้อเองได้ ลิงก์อยู่ท้ายบล็อกเช่นเคย มันจะไปทักที่เฟซบุ๊กของร้านนะ เพราะเห็นว่าต้อวพรีออร์เดอร์เอา ตอนนี้เห็นว่ายอดสั่งทะลุ 1,000 แล้ว เลยมีสีใหม่ให้เลือกด้วย (ฮ่วย! ตูอยากได้สีแดง แต่ตูสั่งเป็นกลุ่ม 1,000 ชุดแรกไง) ถ้าทักแล้วบอกว่า นายกาฝากแนะนำมา เขาก็จะ … ไม่รู้ว่าไอ้กาฝากนี่มันเป็นใคร … ฮา
ในแพ็กเกจของ Genius Keyboard รุ่น Folio นี่ ก็มีตัวคีย์บอร์ดพร้อมเคส ที่บรรจุมาเรียบร้อยดี มีฟองน้ำใส่มาเพื่อกันการกดกระแทกด้วย ดูขนาดแล้วรู้สึกได้เลยว่าใส่แล้ว iPad Pro 10.5″ ตูเทอะทะแหง

องค์ประกอบของเจ้าเคสคีย์บอร์ดนี่มีสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นคีย์บอร์ด และส่วนที่เป็นเคส ตัวเคส ถูกออกแบบให้ป้องกันพวกการกระแทกได้ดีด้วย เลยทำให้เคสค่อนข้างหนา แต่มันก็ออกแบบมาเพื่อ iPad Pro 10.5″ ของผมโดยเฉพาะจริงๆ เพราะมีการเว้นช่องสำหรับพอร์ตเชื่อมต่อ ปุ่มกดต่างๆ รวมไปถึงลำโพง 4 ตัวด้วย

ตรงระหว่างคีย์บอร์ดและเคส มีการออกแบบให้มีช่องสำหรับเก็บ Apple Pencil สำหรับใครก็ตามที่ซื้อ Apple Pencil ไว้ใช้ด้วย มีการเว้นช่องเอาไว้สำหรับให้ใช้นิ้วสะกิดเพื่อถอดเอา Apple Pencil ออกมาด้วย
ตัวแป้นคีย์บอร์ด เห็นเขาบอกว่าใช้ฟ้อนต์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้อ่านง่าย และมีการออกแบบให้มีไฟอยู่ใต้คีย์บอร์ดด้วย สามารถเลือกได้ 7 สี คือ ขาว ม่วง ฟ้า เหลือง แดง เขียว และ น้ำเงิน และสามารถเลือกความเข้มของไฟได้ 3 ระดับ หรือจะปิดเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ก็ได้

คีย์บอร์ดไร้สาย มันจะได้ประโยชน์สูงสุดก็อีตอนที่แยกออกมาใช้ต่างหากได้นั่นแหละ และเจ้า Genius Keyboard รุ่น Folio นี้ก็ออกแบบมาให้แยกคีย์บอร์ดกับเคสออกจากการได้เชนกัน สองชิ้นนี้มันติดกันด้วยแม่เหล็ก สามารถถอดออกและใส่กลับได้ไม่ยาก ลองดูแล้ว ถอดและใส่กลับได้รวดเร็วไม่ต่างจากคีย์บอร์ดออริจินัลของ iPad Pro 10.5″ เลย
ประกอบร่างแล้ว ก็จะได้หน้าตาคล้ายๆ โน้ตบุ๊กแบบนี้ครับ ด้านหลังอ่ะ มันจะมีตัวพับที่ให้เราพับแล้วทำหน้าที่เป็นขาตั้งได้ ซึ่งปรับระดับความเอียงของหน้าจอได้สองระดับ ขึ้นอยู่กับวิธีการพับของเรา โดยส่วนตัว ผมอยากให้มันเอียงได้อีกระดับ แบบที่ทำมุมซัก 15 องศาจากพื้นราบ เพราะมันน่าจะเหมาะสำหรับการวาดรูป

ในทางกลับกัน หากเราต้องการวางตัว iPad Pro 10.5″ ในแนวตั้ง ตัวเคสก็สามารถทำได้นะ แต่จะเอียงหน้าจอได้แค่ระดับเดียวเท่านั้น ซึ่งผมก็อยากให้มันสามารถวางตั้งได้ซักสองระดับนะ บอกตรงๆ หรือถ้าไปได้ถึงสามระดับเลยยิ่งดี
การใช้งาน ก็แค่ชาร์จแบตเตอรี่ก่อนซะหน่อย ให้แน่ใจว่าแบตเต็มๆ ตอนชาร์จแบตเตอรี่มันจะมีไฟ LED สีแดงบอกสถานะของการชาร์จติดขึ้นมา และเมื่อแบตเตอรี่เต็ม ไฟก็จะดับไป พอร์ตชาร์จแบตเตอรี่เป็นแบบ USB-C เข้ากับสมัยนิยมดี ผมชอบ แต่ไม่มีอะไรปิด ทำให้น่าห่วงว่าน้ำเข้าจะมีปัญหาไหม
ไฟ LED แสดงสถานะจะมี 4 ดวง จากซ้ายไปขวาก็คือ (1) เปิดบลูทูธเข้าสู่โหมดจับคู่อุปกรณ์ (2) เปิดใช้ CAPLOCK (3) แบตเตอรี่อ่อนรีบชาร์จซะ และ (4) กำลังชาร์จแบตเตอรี่อยู่ ส่วนด้านขวาของไฟ LED จะเป็นปุ่มรีเซ็ต และปุ่มเปิดปิดคีย์บอร์ด ที่ทำออกมาเนียนเกินจนแทบมองไม่เห็น ถ้าไม่สังเกตให้ดีๆ จริงๆ ตรงปุ่มเปิดปิดเนี่ย ทำสกรีนสีขาวหรือสีเทาอ่อนไว้หน่อยก็ยังดีนะ
การใช้งาน เจ้าเคสนี่รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้สามชิ้น เขาออกแบบมาให้เป็นช่อง 1 สำหรับอุปกรณ์ของค่าย Apple ช่อง 2 สำหรับแอนดรอยด์ และช่อง 3 สำหรับ Windows ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องทำตามนั้นก็ได้ แต่ถ้าทำตาม มันก็จะจำง่ายกว่า จริงแมะ เราสามารถสลับอุปกรณ์ไปมาได้ไม่ยาก

แป้นพิมพ์เขาว่าใช้การออกแบบกลไกขากรรไกร ที่พิมพ์แล้วให้ความรู้สึกพิมพ์นิ่มดี แต่ผมยังพบว่ามันมีปัญหาเวลาที่เปลี่ยนภาษาจากไทยไปเป็นอังกฤษแล้วจะพิมพ์ตัวใหญ่ทันที มันมีความหน่วงอยู่ อันนี้เป็นเพราะตัว OS มันหน่วงเวลานิดนึงครับ ไม่ใช่ความผิดของคีย์บอร์ด แต่ก็ทำให้การพิมพ์สะดุดอยู่

อยากจะใช้ TouchPad ให้เหมือนกับโน้ตบุ๊กเลย ก็อัพเดต iPadOS ให้เป็น 13.4 หรือใหม่กว่า (ซึ่ง ณ ตอนเขียนบล็อกนี้อยู่คือ 13.4.1) ก่อนนะครับ แล้วเราจะทำอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนโน้ตบุ๊กเลย ถ้ายังไม่อัพเดต มันจะยังให้เราเซ็ตแบบคู่มือของคีย์บอร์ดที่ให้เลือกว่าแตะ TouchPad พร้อมกัน 3 นิ้ว หรือ 4 นิ้ว แล้วจะเป็นยังไง มันดีงามมาก
ขนาดของคีย์บอร์ดค่อนข้างเล็ก ฉะนั้นคนที่ชินกับแป้นพิมพ์ใหญ่ๆ อาจจะต้องใช้เวลาแป๊บนึงเพื่อปรับตัว แต่ตัวคีย์บอร์ดสามารถเลือกที่จะปรับระดับให้เอียง หรือแบนราบได้ คล้ายๆ กับคีย์บอร์ดของ Microsoft Surface Pro
ตัวเคส รองรับ Sleep/wake ของ iPad Pro 10.5″ ด้วย ถ้าเอาคีย์บอร์ดมาประกบหน้าจอเรียบร้อย (แต่ต้องตรงกับเซ็นเซอร์ด้วยนะ) มันก็จะปิดหน้าจอให้โดยอัตโนมัติ (ต้องไปตั้งค่าใน Settings ด้วยนะ)
ในส่วนของการใช้งาน เขาว่ากันว่าชาร์จแบตเตอรี่ 2 ชั่วโมงก็เต็ม และใช้ต่อเนื่องได้ราวๆ 30 ชั่วโมง หรือถ้าจะแค่สแตนด์บาย ก็จะได้ราวๆ 100 ชั่วโมง แต่แนะนำให้ปิดคีย์บอร์ดเมื่อไม่ได้ใช้งานเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ซึ่งผมเห็นด้วย โดยเฉพาะคนที่ชอบเปิดไฟบนคีย์บอร์ด (เช่นผม) แต่จริงๆ แล้ว ไฟบบนคีย์บอร์ดจะปิดลงอัตโนมัติ เมื่อไม่มีการใช้งานซักพักนึง และจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานเมื่อเวลาผ่านไป 15 นาทีโดยไม่มีการใช้งาน

ข้อจำกัดของ Genius Keyboard รุ่น Folio ก็คือ การเอามาวางบนตักทำได้ไม่สะดวกเท่าไหร่ครับ คือ ถ้านั่งเหยียดขาแบบผมในรูปด้านบน ก็โอเคอยู่ แต่ถ้านั่งขัดสมาธิอยู่ ไม่เวิร์กเท่าโน้ตบุ๊กแบบปกติ สรุปคือ เจ้านี่เหมาะสำหรับใช้วางบนโต๊ะมากกว่า
แต่ที่ผมชอบเกี่ยวกับเจ้านี่ก็คือมันเป็นคีย์บอร์ดไร้สายไง แล้วสำหรับเวลาทำงานที่บ้าน บนโต๊ะผมจะมีโน้ตบุ๊กเครื่องนึง และมี iPad Pro 10.5″ กับ โน้ตบุ๊กแบบ 2-in-1 detachable อีกเครื่อง ซึ่งการมีคีย์บอร์ดไร้สายที่สามารถแบบนี้ ทำให้ผมสะดวกในการควบคุมสองเครื่องมาก
บทสรุปการรีวิว Genius Keyboard รุ่น Folio
เช่นเดียวกับผู้ใช้งานคนอื่นๆ ที่ลองแล้วชอบ ผมเองก็ชอบเจ้าคีย์บอร์ดนี่เพราะมันตอบโจทย์การใช้งานครับ อย่างบล็อกตอนนี้ ราวๆ 95% ผมก็พิมพ์บน iPad Pro 10.5″ ของผมด้วยเจ้าคีย์บอร์ดนี่นะ ที่เหลืออีก 5% นี่ผมต้องใช้คอมพิวเตอร์ เพราะมันมีข้อจำกัดของแอป WordPress ที่มันไม่สามารถเพิ่มบล็อก Gutenberg แบบที่ไม่ใช่มาตรฐานของ WordPress ได้
ราคา 1,999 บาท ช่วงพรีออร์เดอร์ ผมว่าไม่แพง ถ้าเทียบกับคีย์บอร์ดของ Apple (ฮา) แต่อาจจะราคาสูงหน่อยเมื่อเทียบกับคีย์บอร์ดเคสไร้สายจากจีนรุ่นอื่นๆ แต่พวกนั้นจะไม่มี TouchPad ให้ … แต่ที่ผมขัดใจอยู่หน่อย (แต่ก็ทำใจได้คือ เรื่องของน้ำหนัก เพราะมันทำให้ iPad Pro 10.5″ หนักขึ้นอีกโขเลย ผมลองชั่งน้ำหนักแล้ว ถ้าใส่ครบเซ็ตยัน Apple Pencil นี่ น้ำหนัก 1.108 กิโลกรัมเลยครับ
อ้อ! เขาไม่ได้มีแค่รุ่นสำหรับ iPad Pro 10.5″ นะ มีรุ่นอื่นๆ อีกด้วย ถ้ายังไง เกิดสนใจ คลิกปุ่มด้านล่าง ทักแชทเฟซบุ๊กกับร้านไปเลยนะครับ