จริงๆ เรื่องนี้ผมเคยเขียนเอาไว้ในบล็อกเก่าของผมเมื่อเกือบ 5 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากยังเห็นว่ายังคงมีการขายเครื่องทำน้ำด่าง หรือน้ำอัลคาไลน์กันอยู่ และก็ยังโฆษณาสรรพคุณว่ามันดีต่อร่างกายยังงั้นยังงี้อยู่ ผมเลยขอถือโอกาส เอาบล็อกเก่าของผมมาเขียนใหม่หมดให้ได้อ่านกันอีกรอบดีกว่านะครับ เพราะในตอนนั้น ผมเขียนสรุปเอาไว้ว่า “ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์” แต่ ณ ตอนนี้ ผมคงต้องบอกว่า หลังจากพิจารณาตรรกะต่างๆ แล้ว ต้องบอกเลยว่า น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกายเลย เผลอๆ จะเป็นโทษซะด้วยซ้ำ
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
บทความนี้ยาวเอาเรื่อง และมีการอ้างอิงไปยังบทความและเอกสารต่างๆ มากมาย เป็นภาษาอังกฤษซะส่วนใหญ่ด้วยสิ แต่อยากให้อ่าน ทำความเข้าใจให้หมด อันไหนเป็นใจความสำคัญผมก็จะแปลมาให้ฮะ ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครในเรื่องนี้ ผมแค่ไม่อยากให้คนไทยโดนหลอกให้ดื่มน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ ซึ่งต้องมาเสียเงินซื้อแพงโดยใช่เหตุ แล้วไม่ได้ประโยชน์ใดๆ กลับมาเลย หนำซ้ำ หากไปหลงกลเชื่อเรื่องคุณสมบัติในการรักษาโรคอีก ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะอาจทำให้สุขภาพร่างกายของคุณแย่ลงไปอีก
เข้าใจเรื่องค่าความเป็นกรดและด่างของน้ำดื่มก่อน
ใครที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาตอนเด็กๆ อาจจะจำได้ว่าการวัดค่าความเป็นกรดและด่าง หรือที่เรียกว่าค่า pH มันมีเกณฑ์เป็นเลขตั้งแต่ 0 ถึง 14 โดยที่ 0-6 คือ กรด ส่วน 8-14 เป็นด่าง และ 7 นี่คือเป็นกลาง

ทีนี้ ถ้าเกิดว่าเราลองเอาเครื่องมือมาวัดน้ำดื่มดู ส่วนใหญ่มันจะมีค่าราวๆ pH = 7 คือมีค่าเป็นกลาง หรืออาจจะต่ำกว่านิดหน่อย หรือพูดง่ายๆ คือเป็นกรดนิดๆ ในขณะที่พวกน้ำแร่จากธรรมชาติ เนื่องจากมีแร่ธาตุที่เป็นด่างเจือปนอยู่ มันก็อาจจะมีค่าเป็นด่างนิดๆ คือ pH = 8-8.5

สำหรับคนที่สงสัย ดูข้อมูลจาก Department of Health, Northern Territory Government, Australia ก่อนนะครับ เราจะเห็นว่า อาหาร เครื่องดื่ม และของเหลวต่างๆ ที่เราพบได้ในชีวิตประจำวัน มีความเป็นกรด-ด่าง ยังไงกันบ้าง
- น้ำอัดลมมีค่าเป็นกรด แถมเยอะซะด้วย คือ pH = 2 กว่าๆ
- กาแฟเองก็มีความเป็นกรดนิดๆ อยู่ที่ราวๆ pH = 5
- นมเองก็มีความเป็นกรดนิดๆ เช่นกัน pH ราวๆ 6.8
- เลือดมีความเป็นด่างเล็กน้อย ราวๆ pH = 7.4
- น้ำทะเล ขนาดเค็มแบบนั้นแล้ว ยัง pH = 8
และเผื่อใครไม่รู้ จากข้อมูลของ American Association for Clinical Chemistry นั้น ปัสสาวะคนเราโดยปกติแล้วจะมีค่าเป็นกรดนิดหน่อย คือ ราวๆ pH = 6 แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ค่าอาจจะแกว่งระหว่าง pH = 4.5-8
ทำไมผมต้องพูดถึงปัสสาวะด้วย? เดี๋ยวอ่านไปเรื่อยๆ จะรู้
ส่วนพวกน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ที่เขาขายๆ กัน จะมีค่า pH ราวๆ 8 กว่าๆ แต่บางยี่ห้ออาจจะพุ่งไประดับ 10-12 เลยก็ได้ ถ้ามองตัวเลขแบบนี้แล้ว น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์นี่คือมีความเป็นด่างระดับน้ำทะเลหรือเค็มกว่านั้นเลยนะ
น้ำธรรมดา กลายเป็นน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ได้ยังไง?
อยู่ที่ว่ามันเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือว่าถูกสังเคราะห์ขึ้นมาล่ะ … ถ้าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันก็มาจากการเจือปนของพวกแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดความด่างขึ้นมา แต่ก็จะมีค่าอยู่ที่ราวๆ pH = 7.1-7.5 ส่วนพวกน้ำประปาจะมีค่า pH ราวๆ 7.5 (ส่วนนึงเป็นผลมาจากปริมาณคลอรีน)
แต่ถ้าสังเคราะห์ขึ้นมา เขาจะใช้วิธีการเอาประจุไฟฟ้ามาแลกเปลี่ยนประจุไอออนจากโลหะจำพวกแพลตินัทหรือไททาเนียมเพื่อทำให้น้ำมีค่าเป็นด่างมากขึ้น ไมไ่ด้มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้เลยครับ บางยี่ห้อที่พยายามคุยเรื่องความบริสุทธิ์ของน้ำ ก็อาจจะมีการเพิ่มระบบกรองน้ำเข้าไป ก็แค่นั้น
สรรพคุณที่อวดอ้างของน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ และความเป็นจริงในเชิงวิทยาศาสตร์
ไม่ว่าจะเป็นขายในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ สรรพคุณที่อวดอ้างก็จะไม่ค่อยแตกต่างกันหรอกนะครับ ทีนี้เรามาดูกันทีละสรรพคุณที่อวดอ้างกัน แล้วมาดูว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มันเป็นยังไง
น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดด่างของร่างกาย
คือ ในร่างกายคนเรามันมีจุดที่เป็นกรด จุดที่เป็นด่าง แตกต่างกันไปอยู่แล้วมั้ยล่ะคุณ เพราะมันต้องรักษาระดับความเป็นกรดหรือด่างเอาไว้เพื่อให้การทำงานมันเป็นไปอย่างราบรื่น
- น้ำลายคนเรามีค่า pH อยู่ที่ 6.0-7.4
- สมองมีค่า pH ราวๆ 7.1
- หัวใจมีค่า pH 7.0-7.4
- เลือดคนเรามีค่า pH 7.35.-7.45
- กรดในกระเพาะก็ pH 0.7-2.0
- อสุจิ pH 7.5
- น้ำย่อยในลำไส้เล็ก pH 7.5-8.0
- กระดูก pH 7.4
- กล้ามเนื้อ pH 6.9-7.2
คำถามคือ ดื่มน้ำด่างไปแล้ว มันจะไปช่วยส่วนต่างๆ ได้ยังไง? แค่ดื่มเข้าไป ลงท้องไปปุ๊บ เจอกรดระดับ pH 0.7-2.0 มันจะเหลืออะไร มันจะมีแต่ทำให้ระดับความเป็นกรดของน้ำย่อยลดลง ทำให้อาหารย่อยไม่ดีไปซะอีกเหอะ
นอกจากนี้ ต่อให้ดื่มน้ำธรรมดาที่ pH ประมาณ 7 เข้าไป พอไปถึงส่วนลำไส้ มันก็กลายเป็นด่างไปแล้วครับ เลือดคนเราก็เป็นด่างอ่อนๆ อยู่แล้ว และแน่นอน การดื่มพวกน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีค่า pH ต่ำ มีฤทธิ์เป็นกรด ก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดมากขึ้นแต่อย่างใด ถ้าใครทำมาเป็นว่าให้ทดสอบว่าร่างกายมีความเป็นกรดสูงไหม โดยการให้วัดค่า pH ของปัสสาวะเรา จำไว้เลยนะ ปัสสาวะมีความเป็นกรดอ่อนๆ อยู่แล้วจ้า และสำหรับบางคนก็อาจจะมีความเป็นกรดสูงด้วย วัดยังไงก็กรดเหอะแมะ
นอกจากนี้ การที่ร่างกายมีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป มันมาจากการทานอาหารที่ไม่สมดุล ทำให้มีแร่ธาตุบางอย่างมากเกินไปหรือน้อยเกินไป การดื่มน้ำด่างหรือดื่มน้ำอัลคาไลน์ที่ได้มาจากการสังเคราะห์ ไม่ใช่มาจากการเติมแร่ธาตุ ซึ่งไม่ได้มีแร่ธาตุอยู่เลยมันไม่ช่วยปรับสมดุลใดๆ ทั้งสิ้น และอาจกลายเป็นทำให้ร่างกายยิ่งขาดแคลนแร่ธาตุโดยเฉพาะในหมวดหมู่อัลคาไลน์ (แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี เซเลเนียม ฯลฯ) เข้าไปอีก เพราะร่างกายรู้สึกว่ามีอัลคาไลน์เยอะแล้ว จะไม่กักเก็บแร่ธาตุอัลคาไลน์พวกนี้เอาไว้อีก
น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ ป้องกันร่างกายจากการทำลายของกรดส่วนเกิน
อะไรเรียกว่ากรดส่วนเกินกันเนี่ย ถ้าหมายถึงคนที่จุกเสียด แน่นอนในกระเพาะอาหาร เพราะเป็นโรคกระเพาะ คนไปปรึกษาแพทย์ ขอยามาทานเพื่อลดกรด มากกว่าดื่มน้ำด่างหรือดื่มน้ำอัลคาไลน์เองนะครับ ยาลดกรดที่ใช้ในการแพทย์ เขาออกแบบมาให้มันถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้น้อย ไม่ไปรบกวนสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย การไปหาน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์มาดื่มเองต่างหาก ที่จะทำสมดุลกรด-ด่างในร่างกายชิบหายหมด
น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ ช่วยฟื้นฟูร่างกายด้วยการทำความสะอาดในระดับเซลล์ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคมะเร็ง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย
แหม่ นี่มันสรรพคุณมาตรฐานของยาครอบจักรวาลจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องมะเร็ง คือ บอกก่อนเลยว่า จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกใดๆ ที่ชี้ว่าน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์มันป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็งได้เลยนะ
ทำไมเขาถึงอ้างว่าน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์มันช่วยป้องกันมะเร็ง? ก็เพราะว่ามันมีผลการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า เซลล์มะเร็งเนี่ยอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรดได้ แต่ไปไม่รอดในสภาวะที่เป็นด่าง มันก็จะอ้างกันว่าการดื่มน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์จะช่วยปรับสภาพเซลล์ให้เป็นด่าง เซลล์มะเร็งก็จะเติบโตไม่ได้ … ว่าเข้าไปนั่น
แต่เคยมีคนถามเรื่องนี้ไปที่ American Institute for Cancer Research หรือ สถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาแล้ว คำตอบง่ายๆ และชัดเจนมาก คือ
- การปรับสภาพแวดล้อมความเป็นกรด-ด่างในห้องปฏิบัติการมันทำได้ แต่ในเซลล์ร่างกายคนเรามันทำไม่ได้นะจ๊ะ เพราะร่างกายมันมีการรักษาสมดุลด้วยตัวมันเองอยู่ การดื่มน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์เข้าไป มันจะทำให้กระเพาะเรามีความเป็นกรดลดน้อยลง มันไม่ดีต่อร่างกายซะมากกว่า
- และต่อให้มันปรับสภาพร่างกายให้เป็นด่างได้จริงๆ (ซึ่งมันไม่จริง) ความเป็นกรด-ด่างในร่างกายเรามันสมดุลดีอยู่แล้ว เลือดคนเรามี pH 7.35-7.45 อยู่ ถ้าเกิดมันดันมีค่าเป็นกรดมากไปหรือด่างมากไป มันจะกลายเป็นไม่ดีต่อสุขภาพ หรือเป็นอันตรายต่อชีวิตด้วยซ้ำ การที่เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากไปหรือด่างมากไป มันเป็นตัวชี้ว่าสุขภาพร่างกายมีปัญหานะครับ
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยเหอะ จากบทความของ สสส. ถ้าเราตัดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น พันธุกรรม อายุ ออกไปแล้วละก็ การออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ การทานอาหารที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ และทำอารมณ์ให้แจ่มใส หลีกเลี่ยงความเครียด ความทุกข์ ต่างหาก คือสิ่งที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย
น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด
ตอนอ่านสรรพคุณ มันก็เขียนโม้ไว้แค่ว่า น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์มันช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดได้ แต่ไม่เห็นโฆษณาใดที่มันบอกว่า เพราะอะไรมันถึงช่วยในเรื่องนั้น
แต่จริงๆ แล้ว การเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์เลยฮะ บทความใน WikiHow ร่วมแต่งโดย Luba Lee (Master’s Degree, Nursing, University of Tennessee Knoxville) ซึ่งยังดูมีความน่าเชื่อถือ และตรรกะไม่ป่วยเท่าบทความอวยสรรพคุณน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ เขาพูดถึงวิธีในการเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดดังนี้
- หายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ ลงมาเหลือซักนาทีละ 10 ครั้ง
- ฝึกการกำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าจะขอคำปรึกษาจาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือไปลองฝึกพวกโยคะหรือนั่งสมาธิดูก็ได้
- ลองไอดูซัก 2-3 ครั้ง (แต่อย่าไปไอใส่ใครล่ะ ช่วงนี้ยิ่งกลัวๆ กัน) มันจะช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
- ถ้าคุณเป็นคนสูบบุหรี่ ก็งดสูบบุหรี่ซะ สูดควันเข้าปอดแทนที่จะเป็นอากาศ มันจะทำให้ระดับออกซิเจนสูงได้ไง นอกจากนี้ บุหรี่ยังเป็นภัยต่อปอดอีกเหอะ แล้วปอดมันคืออวัยวะที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนในเลือดให้เรานะ
- หาโอกาสไปสัมผัสกับอากาศสดชื่นซะบ้าง
- ลดน้ำหนักซะ ถ้าอ้วนเกินไป เพราะแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้ระดับออกซิเจนดีขึ้น แต่มันก็จะช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทำเองได้ง่ายๆ แบบนี้ แล้วจะต้องดื่มน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันไปช่วยให้ร่างกายดูดซึมออกซิเจนได้ดีขึ้นได้ยังไงอีก อ้อ! แล้วที่บอกว่าน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก เพราะว่ามันทำให้เลือดเป็นด่าง ก็โม้ทั้งเพนะครับ อย่างที่บอก น้ำมันลงท้อง เจอกรดในกระเพาะเรา มันก็จบแล้วความเป็นด่าง และเลือดเรามันก็เป็นด่างอยู่แล้ว หากเรามีภาวะเลือดเป็นกรด เราต้องไปพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยสาเหตุ (เพราะมันเกิดได้จากหลายสาเหตุ) แล้วจึงทำการรักษานะครับ การรักษามันขึ้นอยู่กับสาเหตุ ประเภท และระดับความรุนแรง การพยายามดื่มน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์เพื่อแก้ปัญหาเอง อาจทำให้ชิบหายกว่าเดิม
แล้วจริงๆ แล้ว น้ำดื่มควรจะมีค่า pH เท่าไหร่?
จริงๆ ที่ผมเคืองที่สุดคือตอนที่ ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เขียนไว้ในหนังสือ น้ำดื่มในอุดมคติ (Water of Life) ซึ่งมีข้อนึงบอกว่า “น้ำดื่มที่ดีควรมีความเป็นด่างอ่อนๆ pH ระหว่าง 7.25-8.50 เพื่อช่วยกำจัดความเป็นกรดและของเสียในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภาวะที่สมดุล” ซึ่งผมขอแย้งเต็มๆ ด้วยเหตุผลต่างต่างนานาที่กล่าวมาในข้างต้นเลยฮะ บอกตรงๆ เคืองมากที่ท่านอาศัยความเป็นนักวิจัยดีเด่นของสภาวิจัยแห่งชาติเอามาสร้างความน่าเชื่อถือในเรื่องนี้ และแกก็ไปเดินสายบรรยายเรื่องจำพวก “น้ำป้องกันมะเร็ง” แล้วก็แนวคิด “น้ำพลังแรงแม่เหล็ก” อีกด้วยนะ (ดูคลิปด้านล่าง)
ในคลิปข้างต้น พูดถึงน้ำป้องกันมะเร็ง ซึ่งเราก็ได้เห็นอยู่แล้วว่ามันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ในปัจจุบันนี้ และไอ้น้ำแรงแม่เหล็กเนี่ย อาจารย์เจษฎาก็จับโป๊ะไปทีนึงแล้วเมื่อปีที่แล้ว
แล้วบทความเรื่องน้ำดื่มในอุดมคติของแกนี่แบบ โดนเอาไปแปะไว้บนหน้าบทความบนเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐด้วย เท่าที่ผมเห็นมีสองที่ ที่นึงผมแจ้งไปให้ทราบ เพื่อพิจารณาประสานงานถอดบทความออกแล้ว เพราะไม่อยากให้โดนเอาไปอ้างอิงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
คือจริงๆ แล้ว ค่า pH ในน้ำอ่ะ มันสำคัญนะ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการรักษาโรคครับ มันเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพน้ำต่างหาก อย่างที่บอกว่าน้ำสะอาดทั่วไปเลยอะ ค่า pH มันจะอยู่ที่ประมาณ 7 คือ เป็นกลาง การที่ค่า pH มันเปลี่ยนแปลงเป็น กรด หรือ ด่าง มันจะสื่อให้เห็นถึงการปนเปื้อนของสารเคมีหรือแร่ธาตุ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของน้ำ
องค์การอนามัยโลก (WHO) มีเอกสารชิ้นนึงชื่อว่า WHO Guidelines for Drinking-water ที่เป็นคำแนะนำสำหรับคุณภาพของน้ำดื่ม ซึ่งพูดถึงค่า pH ของน้ำเอาไว้แบบนี้ (อ่านหน้า 226a ผมขอถือโอกาสแปลเป็นไทยให้อ่าน แต่แปลให้ไม่ได้ครบนะ เน้นเนื้อๆ)
ถึงแม้ว่าค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) จะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค แต่มันก็เป็นหนึ่งในค่าพารามิเตอร์สำคัญในเรื่องของคุณภาพน้ำ การควบคุมค่าความเป็นกรด-ด่างอย่างระมัดระวังจึงมีความจำเป็นในทุกขั้นตอนของการบำบัดน้ำ เพื่อให้แน่ใจถึงความใสของน้ำและการฆ่าเชื้อน้ำ สำหรับการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนนั้น ค่า pH ควรจะต่ำกว่า 8 เพราะหากค่า pH ต่ำกว่านี้ (pH เป็น 7 หรือต่ำกว่า) จะก่อให้เกิดการกัดกร่อน จึงต้องมีการควบคุมค่า pH ของน้ำที่เข้าสู่ระบบประปาเพื่อลดการกัดกร่อนของระบบประปา ทั้งในระบบหลักและภายในบ้าน … หากไม่ลดการกัดกร่อนลง จะส่งผลต่อการปนเปื้อนของน้ำดื่ม และยังมีผลต่อรสชาติและลักษณะของน้ำอีกด้วย ค่า pH ของน้ำที่เหมาะที่สุด มันแตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบของน้ำ และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างระบบประปา แต่ค่า pH จะอยู่ในช่วง 6.5-8.5 ซึ่งค่า pH ที่สุดขั้วเนี่ย อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการที่ระบบบำบัดเสีย หรือวัสดุที่บุผิวท่อซีเมนต์ไม่เพียงพอ เป็นต้น และที่ย้ำไว้ท้ายสุดคือ WHO ไม่ได้มีคำแนะนำด้านสุขภาพใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่า pH ของน้ำเลย
หรือให้ผมสรุปง่ายๆ เลยนะ ค่า pH ไม่ได้มีผลด้านสุขภาพใดๆ เลย และที่เขาพยายามให้น้ำประปามีลักษณะด่างก็เพราะว่าถ้ามันเป็นกรด มันก็ไปกัดกร่อนท่อประปาสิจ๊ะ แถมให้อีกนิด กรมควบคุมมลพิษก็กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำตาม WHO เลยครับ คือให้ pH อยู่ที่ระหว่าง 6.5-8.5 (สูงสุดอนุโลมได้ 9.2 คือ ไม่ใช่ค่าที่ให้เครื่องหมายมาตรฐานได้ และอนุโลมให้เป็นการชั่วคราว)
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ยังคิดว่าดื่มน้ำอัลคาไลน์ยังมีประโยชน์อยู่อีกไหมล่ะ?