เมื่อทุกคนในบ้านต่างก็มีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นของตัวเอง มีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง แต่ก็มีข้อมูลหลายๆ อย่าง ที่อยากจะแบ่งปันกัน เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ หรือไฟล์หนังที่ดาวน์โหลดมา เราก็ต้องการหาโซลูชันในการเก็บข้อมูลพวกนี้ ซึ่ง NAS แบบเต็มรูปแบบอาจจะเวอร์วังไป เพราะต้องมาเรียนรู้เรื่องการใช้งานพอสมควร และเราก็อาจจะไม่ได้ต้องการฟีเจอร์มากมายขนาดนั้น WD My Cloud Home จึงอาจจะเป็นคำตอบ
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
ตัว WD My Cloud Home ที่ผมได้มารีวิวครั้งนี้ เป็นรุ่น 6TB ฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว ได้รับความเอื้อเฟื้อมาจาก WD Thailand แต่ว่าเนื้อหาความเห็นทั้งหมดในบล็อกรีวิวครั้งนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ชอบไม่ชอบตรงไหน ว่ากันตรงๆ ตามสไตล์เช่นเคย
WD My Cloud vs WD My Cloud Home
WD My Cloud Home จะแตกต่างจาก WD My Cloud นิดหน่อยครับ ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายๆ ก็น่าจะเป็นแบบนี้
- WD My Cloud จะเป็น NAS ที่ค่อนข้างเต็มรูปแบบกว่า ให้ผู้ใช้งานเซ็ตค่าต่างๆ ได้มากกว่า เช่น พวกการตั้งค่าเน็ตเวิร์ก และสามารถเปิดให้บริการอื่นๆ ได้มากกว่า เช่น SSH, FTP อะไรพวกนี้ด้วย เวลาจะเข้าใช้งาน จะไปที่ Local web admin page ได้ หรือจะเข้าผ่าน https://file.mycloud.com ก็ได้ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการฟีเจอร์เยอะๆ หน่อย พวก SOHO หรือ SME ขนาดเล็กๆ นี่ก็สามารถเลือกใช้ได้
- WD My Cloud Home ก็เป็น NAS นี่แหละ แต่ว่าออกแบบมาเพื่อผู้ใชเงานตามบ้านโดยเฉพาะ การตั้งค่าต่างๆ ไม่จำเป็นมาก เน้นเสียบเข้ากับ LAN ที่บ้านแล้วพร้อมใช้เลย สามารถบริหารจัดการผ่านเว็บ https://home.mycloud.com ได้ หรือไม่ก็ใช้แอปเข้ามาบริหารจัดการ มีฟีเจอร์ที่เน้นสำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน (เช่น สำรองภาพถ่ายและวิดีโอ, Plex Media Server)
ดีไซน์ของ WD My Cloud Home
ตัว WD My Cloud Home มีสองโมเดลหลักๆ คือ My Cloud Home เฉยๆ ที่มีฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว (ซึ่งก็เป็นโมเดลที่ผมได้มารีวิว) กับ My Cloud Home Duo ที่มีฮาร์ดดิสก์สองลูกในตัว สามารถทำ RAID1 ได้ (เป็นค่า Default) หรือเลือกเซ็ตเป็ต JBOD ก็ได้ (ไม่รองรับ RAID0)
ดีไซน์จะเป็นสไตล์ใหม่ของ WF ครับ ตัวเครื่องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านบนเป็นสีขาวมันวาว ส่วนด้านล่างเป็นสีเทาทำลวดลาย ตรงด้านหน้ามีโลโก้ WD และตรงระหว่างกลางของด้านบนและด้านล่าง มีไฟ LED สีขาวเอาไว้บอกสถานะ


ด้านบนเป็นช่องระบายความร้อนครับ อันนี้ของมันต้องมี เพราะการทำงานของฮาร์ดดิสก์มันจะก่อให้เกิดความร้อน แต่มันมีแค่ลูกเดียวอะนะ ก็ไม่ต้องห่วงอะไรเท่าไหร่

ด้านหลังก็เรียบง่ายครับ มีแค่พอร์ต USB 3.2 Gen 1 พอร์ต Gigabit LAN และช่องเสียบอะแดปเตอร์ไฟ และมีช่องเล็กๆ สำหรับรีเซ็ตตัว WD My Cloud Home อยู่ด้านบนเหนือพอร์ต USB ด้วย
เซ็ตอัพใช้งาน WD My Cloud Home และลองใช้งาน
การติดตั้ง WD My Cloud Home นี่ผมลองแล้ว ง่ายสุดๆ ครับ สมแล้วกับที่มันออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานตามบ้านครับ แค่เสียบปลั๊ก เสียบสาย LAN เอาไว้ รอจนกระทั่งไฟ LED สีขาวด้านหน้าติดค้างไว้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้านี่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้ว จากนั้นก็ไปที่เว็บไซต์ mycloud.com/hello และหากมีบัญชี WD My Cloud Home อยู่แล้ว ก็แค่ล็อกอิน แต่หากยังไม่มีก็สร้างบัญชีขึ้นมา (ฟรี)

จากนั้น ก็แค่ให้มันค้นหา WD My Cloud ครับ ซึ่งสำหรับการใช้งานครั้งแรก มันจะให้เราใส่ ID 9 หลัก ซึ่งอยู่บนแผ่นคู่มือนั่นแหละ ลงไป เดี๋ยวมันก็เจอเอง จากนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็จะเข้ามาที่หน้าจอแบบด้านล่างนี่ครับ

ถ้าไม่คิดจะติดตั้งแอปอะไรบนคอมพิวเตอร์เลย การบริหารจัดการ รวมถึงการเข้าถึงไฟล์ต่างๆ บน WD My Cloud Home ได้ผ่านทางเบราวเซอร์ โดยผ่าน home.mycloud.com ครับ ใครที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux ก็จะมีข้อจำกัดหน่อย เพราะต้องทำผ่านเบราวเซอร์ แต่ถ้าใครใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 หรือใหม่กว่า, Windows 7 (เฉพาะเวอร์ชัน 64-bit) หรือ macOS (Sierra หรือใหม่กว่า) สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม WD Discovery มาติดตั้งได้


ถ้าเราติดตั้ง WD Discovery แล้ว เราจะสามารถคลิกที่ชื่อของ WD My Cloud Home แล้วก็เปิดโปรแกรมจำพวก Windows Explorer หรือ Finder เพื่อเข้าถึงตัว WD My Cloud Home ได้เลยครับ ส่วน Linux นั้น ผมเห็นมันโผล่มาให้เลือกนะ แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ฮะ เพราะมันไม่มี Local user ให้เซ็ต
ส่วนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.4 หรือใหม่กว่า หรือ iOS 9.0 หรือใหม่กว่า ก็สามารถดาวน์โหลดแอป WD My Cloud Home มาติดตั้ง เพื่อเข้าถึงตัว WD My Cloud Home และสามารถบริหารจัดการได้
สำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน สามารถใช้ WD My Cloud Home ตัวนี้มาเป็นสื่อบันทึกข้อมูลสำหรับเก็บพวกภาพและวิดีโอทั้งหมดที่ถ่ายจากสมาร์ทโฟนได้ ความจุระดับ 6TB นี่คือเหลือๆ สำหรับทุกคนในบ้านอย่างแน่นอน (ผมซื้อ iCloud ไว้ใช้กับที่บ้าน ยังแค่ 2TB เอง) ตัวแอปนี่มีฟีเจอร์ในการสำรองข้อมูลรูปให้โดยอัตโนมัติ ผมนี่ยัดรูปไปเกือบหมื่นรูป

และถึงแม้ว่า WD My Cloud Home จะไม่ได้ยัดฟีเจอร์มาแบบจัดเต็มเหมือน NAS เต็มรูปแบบอย่างในสมัยนี้ แต่มันก็ยังมีแอปให้สามารถติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ (เช่น Social and Cloud Import ที่ให้เราสามารถเชื่อมต่อกับ Dropbox หรือ Google Drive เพื่อดึงไฟล์มาเก็บไว้ได้) หรือเพื่อความบันเทิง อย่าง Plex Media Server

ฉะนั้น เมื่อใช้ WD My Cloud Home แล้ว นอกจากจะทำหน้าที่เป็นสื่อบันทึกข้อมูลศูนย์กลางที่เก็บพวกไฟล์ต่างๆ ของทุกคนในครอบครัว รวมถึงรูปถ่ายและวิดีโอที่มาจากพวกสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของคนทั้งบ้านได้แล้ว ยังสามารถเปิดใช้งาน Plex Media Server แล้วเอาไฟล์หนังต่างๆ ไปเก็บไว้บนนั้น เพื่อแชร์หนังให้คนทั้งบ้านได้ดูกันได้อีกด้วยนะ ถ้ามีพวกสมาร์ททีวี แล้วมันติดตั้งแอป Plex ได้ ก็จะทำให้เราเหมือนมี Movie/TV series on-demand ไว้ใช้ในบ้านเลย
พอร์ต USB 3.2 Gen 1 ที่อยู่ด้านหลังช่วยให้การสำรองข้อมูลจาก External HDD เป็นเรื่องง่ายมาก แค่เสียบ แล้วคลิกจากปุ่มบนหน้าบริหารจัดการบนเบราวเซอร์ หรือแอปบนสมาร์ทโฟน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว
บทสรุปการรีวิว WD My Cloud Home
WD My Cloud Home ติดตั้งและใช้งานง่ายมาก ผมว่าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้งานตามบ้านที่ไม่ได้มีพื้นฐานด้านไอทีมากมาย เน้นว่ามีคู่มือแนะนำนิดหน่อย และมี User Interface ที่เข้าใจง่าย ใช้งานง่ายเป็นหลัก แต่ด้วยความที่มันเป็นระบบที่มีฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว จึงเหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลที่ไม่ต้องกังวล หรือเสียดายมากหากฮาร์ดดิสก์เกิดพังไปแล้วข้อมูลหาย
แต่สำหรับช่างภาพที่ไม่สะดวกที่จะต้องไปเซ็ตอัพพวก NAS ยุ่งยาก ผมแนะนำ WD My Cloud Home Duo ที่มี RAID1 เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายในกรณีฮาร์ดดิสก์พังไปซักลูก จะเหมาะสมกว่าครับ
ตัว 6TB นี่สนนราคา 7,250 บาท ซึ่งค่อนข้างสูงประมาณนึง แต่จะเหมาะสำหรับคนที่กะว่าจะเก็บพวกไฟล์หนังไว้เยอะๆ เพื่อใช้ร่วมกับ Plex Media Server ทำระบบ Movie on-demand ที่บ้านครับ
แต่สำหรับผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป ที่มีข้อมูลเก็บไม่ได้เยอะมาก และโอเคถ้าเกิดว่าฮาร์ดดิสก์พังแล้วข้อมูลอาจจะสูญหาย และได้มีการวางแผนสำรองข้อมูลเอาไว้อยู่แล้ว หรือต้องการ WD My Cloud Home เอาไว้เพื่อสำรองข้อมูล รุ่น 2TB ราคา 4,190 บาท อาจจะเหมาะสมกว่าครับ ประหยัดกว่าด้วย