ถ้าไม่นับการเดินทางไปไกลๆ เกิน 20 กิโลเมตร แล้วละก็ การเดินทางในกรุงเทพ ปัจจุบันนี้ผมแทบจะพยายามวางแผนการเดินทางด้วยสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า (e-scooter) หมดแล้วละครับ และปัจจุบัน คันโปรดของผมก็คือ Ninebot Kickscooter MAX ซึ่งเป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหญ่สุดของค่ายนี้ และมีราคาแอบโหดสุดด้วย 36,900 บาท เรียกว่าเพิ่มตังค์อีกนิด ออกรถมอเตอร์ไซค์ได้แล้ว ทำไมผมถึงยังเลือกที่จะเดินทางด้วยสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ไม่ใช่จักรยานยนต์ และทำไมผมถึงเลือกใช้ Ninebot Kickscooter MAX บล็อกนี้จะมาเล่าให้อ่านกัน
คงไม่ต้องบอกว่าปัจจุบัน การจราจรภายในกรุงเทพฯ มันโหดสาหัสขนาดไหน โดยเฉพาะวันจันทร์ ที่หลายๆ คนก็เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัด แล้วเข้ามาในตัวเมืองด้วย ยิ่งโคตรโหดสาหัส โดยเฉพาะสำหรับคนที่บ้านอยู่ในเส้นทางที่ออกไปต่างจังหวัด ตามภาคต่างๆ และยิ่งสุดๆ สำหรับคนที่บ้านอยู่เส้นถนนพระรามที่ 2 แบบผมนี่ ใครอยู่แถวนี้จะรู้ดีว่าเช้าๆ เนี่ย รถมันไปออขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานครกันขนาดไหน
คนเรามันต้องอยู่เป็น ต้องปรับตัว (ฮา) ผมก็เลยเลิกใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ ที่เดาใจยากจริงๆ ว่าเมื่อไหร่จะมา แล้วรถมันแน่นมากไหม (บอกเลยว่ามาก) มาใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้านี่แหละ
แล้วทำไมถึงเลือกใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ทำไมไม่ใช้รถจักรยานยนต์?
อย่างแรกเลยนะ ผมไม่มีใบขับขี่ (ฮา) คือ ก็ว่าจะทำ แต่ตอนนั้นไม่รู้ทำไม ไม่ยอมสอบ สุดท้ายก็เลยไม่มีใบขับขี่ และขี้เกียจหยุดงานไปสอบด้วย สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า แบบที่เขาขายๆ กันเพื่อใช้เดินทางในตัวเมือง ความเร็วมันประมาณจักรยานแม่บ้านขี่เร็วๆ พี่ตำรวจจราจรมองเป็นรถจักรยานประเภทนึงอะ ถ้าเราไม่ขี่ไปเกะกะรถยนต์ ขี่ชิดริมตลอดเวลา มันก็พอจะเนียนๆ ออกถนนกับเขาได้

แน่นอนว่า ถ้าถนนโล่งๆ แล้วต้องการถึงจุดหมายเร็วๆ ขี่จักรยานยนต์เลยดีกว่า แต่ถ้าแบบนั้น ผมขึ้นรถเมล์เอาก็ได้ คือ จริงๆ แล้ว ถ้ารถไม่ติดโหดนรกแบบปัจจุบันนี้ ผมก็ไม่ติดปัญหาอะไรกับการขึ้นรถเมล์นะเออ เพราะแม้ว่ามอเตอร์ไซค์จะคันเล็ก แต่มันก็ยังต้องหาที่จอดให้อยู่ แต่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าอ่ะ มันจอดข้างโต๊ะที่ทำงานได้เลย (ฮา) และที่สำคัญ มันคล่องตัวมากๆ ในสถานการณ์รถติด มุดได้ดีกว่ามอเตอร์ไซค์ซะอีกเหอะ
ถ้าค่าน้ำมันมอเตอร์ไซค์ถูกแล้ว ค่าไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าถูกยิ่งกว่าอีกครับพี่น้อง และบอกตรงๆ ว่า ถึงผมจะเปลี่ยนสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสามคันในรอบเกือบๆ สี่ปี แต่ไม่ใช่เพราะว่ามันเจ๊งนะ คันแรกสุดของผม ปัจจุบันน้องชายก็ยังเอาไปขี่ซื้อส้มตำปากซอยได้อยู่ ส่วน Ninebot Kickscooter ES2 ของผม ปัจจุบันก็ยังเป็นตัวสำรองในการใช้งานบางกรณีอยู่เช่นกัน
แล้วทำไมถึงเลือก Ninebot Kickscooter MAX?
สองเหตุผลหลักๆ เลย หนึ่งคือเรื่องของระยะทางที่วิ่งได้จากการชาร์จครั้งเดียว ซึ่งทำได้ราวๆ 48-50 กิโลเมตร หากวิ่งโหมดปกติเพียงอย่างเดียว และหากวิ่งสลับโหมดปกติกับโหมดสปอร์ต นี่ก็พอวิ่ง 38-40 กิโลเมตรได้สบายๆ จริงๆ ก็ว่าจะลองเสี่ยงวิ่ง 38 กิโลเมตร โดยใช้โหมดสปอร์ตอย่างเดียวอยู่เหมือนกัน แต่ยังเกรงใจร่างกายที่จะต้องเข็น ถ้าเกิดแบตเตอรี่หมด (ฮา)

เหตุผลที่สองคือเรื่องของการตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เพราะผมไม่ได้ใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเป็นแค่ตัวเชื่อมการเดินทาง (เช่น ขี่ไปขึ้นรถเมล์รถไฟฟ้า แล้วลงมาขี่ต่อเข้าบ้านหรือเข้าออฟฟิศ) แต่ผมขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากที่ทำงานไปบ้าน และที่บ้านไปที่ทำงานเลย ไม่ต้องแบกขึ้นลงรถแล้ว ดังนั้นผมเลยต้องการสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ขี่สบายเพราะมีพื้นที่ให้ยืนกว้างขวาง และนุ่มนวล เพราะใช้ยางลม ซึ่ง Ninebot Kickscooter MAX ตอบโจทย์ทั้งคู่
และของแถมที่ได้ก็คือ พอตอนขับรถไปเที่ยวอ่ะ ถ้าเอา Ninebot Kickscooter MAX ใส่ท้ายรถไปด้วย มันเอาไว้ร่อนเล่นรอบๆ โรงแรม ไปที่เที่ยวหรือของกินใกล้ๆ ได้สะดวกมาก ไปกับแฟน ก็ให้แฟนซ้อนไปด้วยได้ แฟนยืนอยู่ติดกับแฮนด์ ผมก็จับแฮนด์ไว้โอบแฟนไปในตัว สวีตจะตาย นี่เพิ่งไปเชียงราย ตาก และลำปางมา ก็เอาไปขี่กันนี่แหละ