เมื่อวันเสาร์ ผมอยากลองเปิดเส้นทางใหม่ๆ ในการขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากบ้านไปเที่ยวเล่น เคยคิดว่าจะขี่ไปสนามหลวง ถ่ายรูปบรรยากาศยามเช้า อะไรแบบนี้ แต่ผมเกิดเปลี่ยนใจ เลือกที่จะขี่ไปตลาดบางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ แทน แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น คือ ระหว่างทางขากลับ หลังจากที่ผมขี่มาถึงแถวๆ บางปะกอก มันเกิดอุบัติเหตุขึ้น และหมวกกันน็อกจักรยานที่ผมใส่ทุกครั้งที่ขี่ออกถนนมันช่วยผมเอาไว้ เลยขอบันทึกเป็นอุทาหรณ์สอนใจครับ
สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเป็นยานพาหนะใหม่ที่เริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทย แต่ก็ยังไม่ใช่อะไรที่เห็นกันได้เกลื่อน มันยังดูแปลกใหม่สำหรับคนทั่วไปที่สัญจรบนท้องถนนอยู่ ส่วนนึงคือเพราะราคามันยังแพง เนื่องจากภาษีนำเข้ามันยังสูง (นำเข้าจากจีนโดนภาษี 50%) แล้วไหนจะบวกค่าการตลาดต่างๆ อีก ราคาสกู๊ตเตอร์จากผู้จำหน่ายที่นำเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย เริ่มต้นที่แถวๆ 18,000 บาท สำหรับรุ่นที่มีน้ำหนักพกพาสะดวก แต่ก็ยังสามารถเดินทางได้ในระยะที่ไกลพอสมควร สามารถใช้งานได้จริง
แต่ปัจจุบัน การขี่สกู๊ตเตอร์ทำได้ง่ายขึ้น เพราะมี Startup หลายรายเข้ามาเปิดให้บริการ แต่เนื่องจากความสดใหม่ของยานพาหนะ ความง่ายในการขับขี่ (สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าพวกนี้ ถ้าขี่จักรยานเป็น เราก็จะสามารถขี่ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาฝึกหัดมาก) ประกอบกับการที่กฎหมายยังไม่เข้ามาครอบคลุมมาก และด้วยความที่ความเร็วของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า (ที่ไม่ผิดกฎหมาย) มันไม่ได้สูงไปกว่าการขี่จักรยาน ส่งผลให้ผู้ใช้บริการจำนวนมากยังไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่สำคัญอย่างเช่น หมวกกันน็อก
แต่ในความเป็นจริง คุณก็รู้อยู่ว่าการขี่จักรยานในประเทศไทยมันอันตรายแค่ไหน จากข่าวการเสียชีวิตของนักปั่นระดับโลก (อ่าน: สังเวยกี่ชีวิต? นักปั่นต่างชาติ ตายในไทย ถนนอันตราย หรือคนขับชุ่ย) หรือแม้แต่อุบัติเหตุจักรยานตามท้องถนน นี่ยังไม่นับสภาพถนนที่แย่ๆ อีกนะครับ
แน่นอนว่าโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุใหญ่ๆ ในระดับที่เสียชีวิตมันไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ มันเกิดขึ้นเป็นประจำนะครับ ขนาดตอนที่ผมขี่สกู๊ตเตอร์ไปทำงานแถวสาทรเนี่ย เจอรถเบียดชนกันบ้างล่ะ เจอมอเตอร์ไซค์ลื่นล้มบ้างล่ะ เฉลี่ยๆ ก็ซักเดือนละหนสองหนได้ เราน่ะระมัดระวังดีอยู่แล้ว แต่เราตอบได้ไหมล่ะว่าคนอื่นเขาจะระวังไปกับเราด้วย
และผมก็เจอเข้ากับตัวเองอะ คือ คู่กรณีของผมจอดรถข้างถนนซักพักใหญ่ๆ แล้ว และจอดห่างจากถนนพอสมคร ผมก็ไม่ทันคิดว่าจะมีคนลงจากรถ (เพราะรถจอดมาพักใหญ่ๆ แล้ว) และเพื่อไม่ให้เสี่ยงกับรถบนท้องถนนที่วิ่งกันเร็วในยามเช้า ผมก็เลือกที่จะขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเลียบติดขอบถนนไป (ตามที่รถเล็กๆ วิ่งช้าๆ แบบผมพึงกระทำ ตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก) แต่ปรากฏว่า ภรรยาของคนขับรถคู่กรณีที่เขาเห็นผมขี่สกู๊ตเตอร์มาแล้ว ไม่คิดว่าผมจะมาถึงได้เร็ว เปิดประตูออกมาแบบกะทันหัน ส่งผลให้ผมหลบไม่ทัน และชนเข้าเต็มๆ จนล้ม และหัวฟาดพื้น แอบวูบไปประมาณนึงเลยครับ

ความโชคดีของผมคือ ผมไม่ประมาท และสวมหมวกกันน็อกจักรยานทุกครั้งที่ขี่ออกถนนครับ หมวกกันน็อกเลยรับแรงกระแทกให้แบบเต็มๆ และผมก็เลยบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น มีแค่แผลถลอกเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 4 เซ็นติเมตร ตรงเอวด้านหลัง กับหลังเท้าซ้ายขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตร แล้วก็มีอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อต้นขาทั้งสองข้าง คอ และอีกหลายๆ จุดบนร่างกาย ที่น่าจะเกิดจากแรงปะทะ ซึ่งมารู้ตัวหลังจากเกิดอุบัติเหตุอีกวัน เพราะจนถึงตอนที่เขียนบล็อกนี่ บอกเลยว่า จะนอน จะลุก จะเดินลงบันได ระบมจริงๆ ฮะ … หมอให้หยุดพัก 1 สัปดาห์ แต่ผมคิดว่าอาจจะพักซัก 1-3 วันก่อน

ส่วนหมวกกันน็อก ผมก็ต้องซื้อใหม่ครับ เพราะอันเก่า พอกระแทกแรงๆ แล้ว แม้ภายนอกจะเหมือนมีรอยนิดหน่อย แต่พอดูด้านในแล้ว เห็นได้เลยว่ามันเสียรูปไปแล้ว และโฟมกันกระแทกเกิดการแตกร้าว พอลองเอามือกดๆ ดูแล้ว มันยุบๆ นิดๆ หรือพูดง่ายๆ ความสามารถในการป้องกันแรงกระแทกมันลดลงไปเยอะแล้ว เอามาใช้แก้ขัดไปก่อนได้ แต่ว่าไม่ควรไว้ใจมันอีก อันละ 900 บาท สั่งจากจีน ไม่แพง เมื่อเทียบกับสิ่งที่มาเซฟเราได้
ฉะนั้น ใส่หมวกกันน็อกเถอะครับ มันช่วยเซฟเราได้จริงๆ … สำหรับคนขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ที่ความเร็ว 25-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้หมวกกันน็อกจักรยานก็พอได้ครับ