เป็นที่รู้กันว่าสินค้าของ Apple ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ระดับ Mass เพราะความที่อะไรๆ ก็ถูกตีกรอบเอาไว้ เช่น ระบบปฏิบัติการ macOS ก็ต้องใช้กับเครื่อง Mac หรือ ระบบปฏิบัติการ iOS ก็ต้องใช้กับ iPhone/iPad เป็นต้น ส่งผลให้คู่แข่งอย่าง Microsoft หรือ Google ส่งระบบปฏิบัติการของตนเอง ทั้ง Windows และ Android มาตีตลาดผู้ใช้งานทั่วโลกส่วนใหญ่ไปได้สบายๆ แต่ Apple ก็ โนสนโนแคร์ เพราะในยุคของสตีฟ จ็อบส์ นั้น ออกทิศทางมาชัดเจนว่า ชั้นไม่ใช่บริษัทผลิตซอฟต์แวร์เหมือนกับ Microsoft ซะหน่อย ชั้นมันบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์ ที่แถมซอฟต์แวร์ให้ไปใช้ด้วย เพราะซอฟต์แวร์ของชั้นถึงจะดึงขีดความสามารถของฮาร์ดแวร์มาได้ดีที่สุด … ในยุคนั้นสินค้าของ Apple แม้จะไม่ใช่สำหรับ Mass แต่กลับสามารถกำหนดเทรนด์บางอย่างได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกใช้แผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ 3.5″ หรือที่ชาวบ้านเรียกไดร์ฟ A แล้วหันไปใช้ USB แทน การปฏิวัติสิ่งที่เรียกว่าสมาร์ทโฟน การออกเทคโนโลยีหน้าจอ Retina display ฯลฯ แต่คุณจะว่าผมเวอร์ไปไหน ถ้าผมจะบอกว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ Apple เขาเปิดตัว iPhone 11 นี่ ผมลืมไปเลยว่ามันเปิดตัว และบอกตรงๆ ผมกลับไม่รู้สึกว่ามัน “ว้าว” อะไรเลย
แต่ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกก่อนว่า ปัจจุบัน พวกสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึก “ว้าว” ซักเท่าไหร่แล้วนะครับ คือ ไม่ใช่มันไม่ดี แต่มันขาดสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกอยากจะได้มันมาเป็นเจ้าของ ความรู้สึกที่อยากจะอัพเกรด เปลี่ยนสมาร์ทโฟนปีละเครื่องเนี่ย มันหมดไปแล้ว เพราะปัจจุบัน แม้สมาร์ทโฟนมันจะทำอะไรได้มากขึ้น สเปกดีขึ้น ถ่ายรูปออกมาสวยขึ้น แต่เมื่อเทียบกับของที่อยู่ในมือเราตอนนี้ ผมกลับรู้สึกว่า ไอ้ที่อยู่ในมือตอนนี้มันก็ตอบโจทย์อยู่แล้วนี่หว่า แล้วจะต้องควักกระเป๋าจ่ายสองสามหมื่นบาททำไมอีก
ผมลองย้อนกลับไปดูตอนที่ สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPhone ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งบอกตรงๆ ว่าดูกี่ทีๆ นี่ขนลุกครับ ลีลาการนำเสนอ การนำเรื่องเข้าสู่ตัวผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวผลิตภัณฑ์นี่แหละ ที่มันโดดเด่นและกำหนดเทรนด์ของตลาดได้เลย ตอนเปิดตัว iPhone รุ่นแรกนี่ สตีฟ จ็อบส์ บอกเลยว่า Apple reinvents mobile phone กันเลยทีเดียว ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างที่เขาว่า และหลังจากนั้น Apple ก็ยังมีปล่อยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีออกมาเรื่อยๆ ครับ เช่น เปิดตัว Retina display ใน iPhone 4 ตอนนั้นนี่แบบว่า แม้ Apple จะออก iPhone มาแค่ปีละครึ่งรุ่น (คือ มันมี Major change ทุกสองปี) แต่เมื่อมันออกมาแล้ว จะต้องมีอะไรซักอย่างที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวกำหนดเทรนด์ให้กับสมาร์ทโฟนคู่แข่งเลยแหละ (ตอนที่ออก Retina display มานี่ คู่แข่งเลยต้องพยายามทำจอความละเอียดสูงตามด้วย) ในยุคนั้น แม้ท้ายที่สุดแล้วผลิตภัณฑ์ของ Apple จะไม่ใช่สเปกดีที่สุด แต่ก็จะเป็นเหมือน Benchmark ที่คู่แข่งจะต้องทำให้ดีกว่าให้ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ประสบการณ์ในการใช้งาน Apple ก็ยังกินขาดอยู่
แต่ไม่กี่ปีให้หลังมานี่มันไม่ใช่แบบนั้นแล้วอ่ะ เราจะเริ่มเห็นว่า Apple เปลี่ยนสถานะจากผู้กำหนดเทรนด์กลายมาเป็นผู้ทำตามเทรนด์แทนไปซะแล้ว เราได้เห็น Apple ผละจากหน้าจอแสดงผลแบบ 4:3 ที่เคยทำมาตลอด มากลายเป็น 16:9 แทน เราได้เห็น Apple เริ่มทำให้ iPad Pro สามารถแสดงผลสองแอปพร้อมๆ กันได้ ในแบบเดียวกับที่ Microsoft ได้ลองทำกับ Surface RT ซึ่งผมก็ต้องบอกก่อนเลยว่า แม้จะตามเทรนด์ชาวบ้านเขา แต่ Apple ก็ไม่ได้แค่สักแต่ว่าทำนะ เขานำไปปรับปรุง แก้ไขข้อบกพร่องที่เจอ แล้วทำออกมาให้มีประสบการณ์ใช้งานที่ดีได้จริงๆ … แต่ผมก็ยังหวังที่จะได้เห็น Apple ในยุครุ่งเรืองของความเป็นผู้นำเทรนด์อีกครั้งอ่ะ วันที่ ทิม คุก หรือใครก็ตามแต่ จะออกมากล่าว Keynote แล้วพูดถึง Pain point ของผู้ใช้งาน แล้วบอกว่า Apple ได้ทำการศึกษา วิจัยและพัฒนา เพื่อแก้ Pain point ของผู้ใช้งานนี้ ในแบบเดียวกับที่ สตีฟ จ็อบส์ เลยออกมานำเสนอ ตอนเปิดตัว iPhone
เพราะตอนนี้ แม้แต่การเป็นผู้นำด้านการเซ็ตราคาค่าตัวสมาร์ทโฟนแพงๆ ของ Apple ก็ดูเหมือนจะหดหายไปแล้ว ดูได้จากการที่ iPhone 11 ออกมา ราคาต้องปรับลดลงไปเยอะ เพื่อให้ไปแข่งกับเรือธงคู่แข่งได้นี่แหละ