ชื่อยี่ห้อ Plantronics หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยในฐานะผู้ผลิตหูฟังบลูทูธสำหรับสมาร์ทโฟนกับหูฟังสำหรับพวก Call Center ยอดนิยมรายนึง เพราะมีคุณภาพดี ในราคาที่ไม่แพงมากด้วย แต่จริงๆ แล้ว Plantronics เขาก็เปิดตลาดในส่วนของหูฟังสำหรับฟังเพลงด้วยนะครับ โดยส่วนตัวของผม ผมนี่แอบชอบเลยล่ะ (มีใช้เองอยู่ 4 รุ่นเลย) และนี่เขามี BackBeat Go 410 ออกมาวางจำหน่าย ในราคา 4,590 บาท ซึ่งให้เสียงดี แถมมีระบบตัดเสียงรบกวน ANC (Active Noise Cancellation) อีกด้วย
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
หูฟัง Plantronics BackBeat Go 410 ที่ใช้ในการรีวิวครั้งนี้ ได้รับความเอื้อเฟื้อจากบริษัท Systems 2000 Co., Ltd. มาให้ใช้งานและรีวิวครับ โดยทุกความเห็นเกี่ยวกับการใช้งานในรีวิวฉบับนี้ เป็นความเห็นของผมล้วนๆ ไม่ได้มีใครมาเกี่ยวข้องหรือกำหนดเนื้อหาใดๆ ครับ
ดีไซน์ของหูฟัง Plantronics BackBeat Go 410

ตัว Plantronics BackBeat Go 410 เป็นหูฟังไร้สายแบบคล้องคอ ที่ถูกออกแบบมาให้สะดวกต่อการพกพาไปใช้งาน เพราะไม่จำเป็นต้องหาที่เก็บอะไร ก็คล้องคอพกไปไหนมาไหนได้โดยตลอด ตัวหูฟังเป็นวัสดุแนวซิลิโคนหรือยาง มีส่วนที่เป็นเหมือนตุ้มน้ำหนักอยู่สองข้างด้วยวัตถุประสงค์สองอย่าง คือ ถ่วงน้ำหนักเพื่อให้คล้องคอได้สะดวก และก็เป็นพื้นที่สำหรับใส่แบตเตอรี่ของหูฟังด้วย ส่วนตัวสายหูฟังเป็นแบบแบน ลดการเกิดสายพันกันได้ดี และมีรีโมทคอนโทรลเอาไว้

ตัวหูฟังเป็นแบบ In-ear หรือ เสียบในรูหู แต่ว่ามีการออกแบบให้ถูกกับหลักการยศาสตร์มากขึ้น การสวมใส่ในรูหูสะดวกมาก และค่อนข้างแน่นหนาไม่หลุดง่ายๆ และตัวหูฟังมีแม่เหล็กฝังอยู่ เพื่อให้หูสองข้างติดกันได้เวลาที่ถอดหูฟังออกจากหูแล้ว และนอกจากนี้ มันก็ยังถูกใช้ในฟีเจอร์ Smart Magnet ที่สามารถใช้สั่งงานแบบง่ายๆ เช่น การหยุดเล่นเพลง เมื่อถอดหูฟังออกมาแปะติดกันแล้ว เป็นต้น

ตัวรีโมทบนหูฟัง ก็มีปุ่มมาตรฐานคือ Volume +/- และปุ่ม Multifunction ที่เมื่อกดค้างไว้ราวๆ 2 วินาทีก็จะเป็นการเปิดหรือปิดหูฟัง แต่หากกดค้างไว้นานกว่านั้น (กดค้างตั้งแต่ตอนหูฟังยังปิดอยู่ ราวๆ 4 วินาที ก็จะกลายเป็นโหมดจับคู่อุปกรณ์ หรือ Pairing) ไป … เดี๋ยวรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานปุ่มกดพวกนี้ จะพูดถึงในช่วงของการรีวิว


และแม้ว่าตัวหูฟังจะถูกออกแบบมาให้พกพาสะดวกด้วยการคล้องคอ แต่เจ้านี่ก็มีแถมถุงผ้าตาข่ายมาให้ด้วย เพราะมันมีลูกเล่นอยู่ตรงที่สายชาร์จของหูฟัง นั่นคือ นอกจากมันจะทำหน้าที่เป็นสายชาร์จหัว Micro USB ได้แล้ว มันยังสามารถถอดเอาหัว Micro USB ออกมา แล้วกลายเป็นหัวแจ็กหูฟัง 3.5 มม. ได้อีก เพื่อใช้ในกรณีที่เราอยู่ในที่ที่ไม่สามารถใช้บลูทูธได้ (เช่น บนเครื่องบิน) หรือ แบตเตอรี่หมด เป็นต้น
ลองใช้หูฟัง Plantronics BackBeat Go 410
การเชื่อมต่อหูฟัง Plantronics BackBeat Go 410 ทำได้ไม่ยากครับ แค่เปิดหูฟังครั้งแรก มันก็จะเข้าสู่โหมดจับคู่อุปกรณ์ทันที เราก็แค่เปิดสมาร์ทโฟนมาแล้วทำการเชื่อมต่อกับหูฟังผ่านบลูทูธ ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าจะให้ใช้งานได้เต็มเหนี่ยวที่สุด ก็แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป BackBeat สำหรับ Android หรือ iOS มาติดตั้งในสมาร์ทโฟนด้วย เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถอัพเดตเฟิร์มแวร์ ตั้งชื่อหูฟัง (เวลาที่ปรากฏตอนเชื่อมต่อบลูทูธบนสมาร์ทโฟน) ตั้งระดับของการตัดเสียงรบกวน (ANC) หรือปรับ Equalizer ก็ได้ จะเปลี่ยนเสียงที่หูฟังพูดกับเราก็ได้ รองรับ 16 ภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย

ในการใช้งานรีโมทคอนโทรล แม้จะมีแค่สามปุ่ม คือ Volume +/- และ Multifunction ซึ่งมีลักษณะการทำงานแบบนี้
- ปุ่ม Volume down ถ้ากดทีเดียวก็เป็นการปรับเสียงให้เบาลง แต่ถ้ากำลังเล่นเพลงอยู่แล้วกดค้างไว้ จะเป็นการกลับไปยังเพลงที่ฟังก่อนหน้า
- ปุ่ม Volume up ถ้ากดทีเดียวก็เป็นการปรับเสียงให้ดังขึ้น แต่ถ้ากำลังเล่นเพลงอยู่แล้วกดค้างเอาไว้ จะเป็นการเปิดเพลงถัดไปฟัง
- ปุ่ม Multifunction เอาไว้ใช้หลายสถานการณ์เลยครับ
- ถ้าปิดหูฟังอยู่ กดปุ่มนี้ค้างไว้ 2 วินาที จะเป็นการเปิดหูฟัง เราจะได้ยินเสียงพูดว่า Power on เมื่อเปิดแล้ว (หรือเป็นภาษาอื่น แล้วแต่เราจะตั้ง)
- ถ้าปิดหูฟังอยู่ กดปุ่มนี้ค้างไว้ 4 วินาที จะเป็นการเข้าสู่โหมดจับคู่อุปกรณ์ เราจะได้ยินเสียงพูดว่า Pairing (หรือเป็นภาษาอื่น แล้วแต่เราจะตั้ง)
- ถ้าเปิดหูฟังอยู่ กดค้างไว้ 4 วินาทีจะเป็นการปิดหูฟัง เราจะได้ยินเสียงพูดว่า Power off เมื่อปิด (หรือเป็นภาษาอื่น แล้วแต่เราจะตั้ง)
- ถ้าเปิดหูฟังอยู่ กดค้างไว้ 2 วินาที จะเป็นการเรียกใช้งาน Siri หรือ Google Assistant
- ถ้าเปิดหูฟังอยู่ แล้วกดปุ่มนี้พร้อมๆ กับปุ่ม Volume up ค้างไว้ 2 วินาที จะเป็นการเปิดหรือปิด ANC
- ถ้าเปิดหูฟังอยู่ แล้วกดปุ่มนี้พร้อมๆ กับปุ่ม Volume down ค้างไว้ 2 วินาที จะเป็นการเปิดหรือปิดฟีเจอร์ Smart Magnet
- ตอนกำลังโทรศัพท์อยู่ ถ้ากดปุ่ม Volume down กับ Volume up พร้อมกันข้างไว้ 2 วินาที จะเป็นการ Mute เสียง
ณ ตอนนี้ ผมใช้ Plantronics BackBeat 105 อยู่ คุณภาพเสียงเรียกว่าดีพอสมควร ใช้งานสะดวก คล้องคอพกไปไหนมาไหนก็ได้สบายมาก แต่มันมีข้อจำกัดอยู่เรื่องนึงคือ เสียงย่านเบสมันไม่ค่อยตึบเท่าไหร่ ไอ้ผมก็เป็นคนชอบให้เสียงเบสมันดังประมาณนึงซะด้วยสิ แต่พอลองเอาเจ้า Plantronics BackBeat Go 410 นี่ มันคือพัฒนาการด้านเสียงที่ดีขึ้นจริงๆ เมื่อเทียบกับ BackBeat 105 โดยเฉพาะเสียงเบส ที่ตึบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนฟีเจอร์การตัดเสียงรบกวนภายนอก หรือ ANC (Active Noise Cancellation) นั้น เท่าที่ลองใช้งาน อาจจะไม่ดีเลิศเหมือนพวกหูฟังตัวใหญ่ๆ แต่ก็ตัดเสียงหึ่งๆ ย่านความถี่ต่ำไปได้พอสมควร เมื่อประกอบกับความที่เป็นหูฟังแบบ In-ear แล้ว ถ้าเลือกตัว Ear tip ให้เหมาะสมกับรูหู แล้วก็ฟังเพลง หรือฟังอะไรก็ตามแต่ มันเหมือนเราอยู่ในโลกส่วนตัวได้ประมาณนึงเลยทีเดียว
การที่มี ANC มาช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกเนี่ย มันมีประโยชน์เรื่องนึงที่เห็นได้ชัดเจน นั่นก็คือ เราไม่ต้องเปิดเสียงให้ดังมากก็ยังได้ยินเพียงพอที่จะฟังรู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ พอดแคสต์ หรือเพลง ก็ตาม ช่วยถนอมหูเราได้ดีมาทีเดียวครับ อันนี้ขอยืนยัน แต่มันก็มีข้อควรระวังนะครับ เพราะการมี ANC เนี่ย ทำให้มันตัดเสียงรบกวนโดยรอบได้มาก พูดง่ายๆ เราแทบจะไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลย ฉะนั้น หากเราจะใส่ฟังเพลง หรือพอดแคสต์ หรืออะไรก็ตาม ระหว่างเดินถนนอะไรพวกนี้ ให้ระวังสิ่งรอบตัวให้มากๆ ด้วยนะครับ
ผมพบปัญหาตอนใช้ Plantronics BackBeat 105 ซึ่งผมมาพบภายหลังจากที่ใช้งานไปพักใหญ่ๆ มากๆ เพราะมันดูจะมีปัญหาในพื้นที่บางจุด ที่เหมือนจะมีสัญญาณรบกวน ส่งผลให้การส่งสัญญาณเสียงมาที่ตัวหูฟังเกิดการกระตุกอยู่บ้าง (ตอนรีวิวไม่ได้ผ่านไปยังพื้นที่พวกนี้ เลยไม่สังเกตปัญหาดังกล่าว) ผมก็เลยลองใช้ Plantronics BackBeat Go 410 นี่ในพื้นที่ต่างๆ ที่ผมพบปัญหานี้ดู ปรากฏว่าไม่มีอาการกระตุกใดๆ ผมคิดว่าทาง Plantronics คงแก้ปัญหานี้ได้แล้วล่ะ ถือว่าเป็นเรื่องดีครับ
ในแง่ประสบการณ์ใช้งานนั้น ผมว่าค่อนข้างดีทีเดียวแหละครับ เอามาฟังเพลง พอดแคสต์ ดูหนัง หรือแม้แต่เล่นเกม ตอนอยู่บนรถเมล์บ้าง รถยนต์บ้าง หรือแม้แต่ตอนอยู่ที่บ้าน มันเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวเลยทีเดียว ดีไซน์ของตัวหูฟังก็ค่อนข้างดี เสียบเข้าหูได้ง่ายและใส่นานๆ ก็ไม่รู้สึกเจ็บหูเหมือนพวก In-Ear ทั่วๆ ไป แบตเตอรี่ ก็ดูเหมือนจะตามที่โฆษณาครับ คือ ถ้าเปิด ANC ค้างเอาไว้ จะฟังต่อเนื่องได้ราวๆ 8 ชั่วโมง

ตัวฟีเจอร์ Smart Magnet เนี่ย ตามหลักการแล้ว เวลาที่เปิดใช้งาน พอเราเอาตัวหูฟังสองข้างมาแปะกันปุ๊บ มันก็จะทำการหยุดการเล่นเพลงชั่วคราว ปิดฟีเจอร์ ANC และตัดการทำงานของบลูทูธเพื่อประหยัดพลังงาน แต่จริงๆ มันยังแอบเชื่อมต่ออยู่นะครับ คือ เปลี่ยนมาใช้ Bluetooth LE (Low Engergy) แทน ผมสังเกตได้จากตอนที่เชื่อมต่อกับ iPhone มันจะเชื่อมต่อด้วยสองชื่อ คือ PLT BBGO410 Series กับ PLT BBGO410 BLE ครับ อันหลังเป็นของ Bluetooth LE นั่นเอง … ถ้าเปิดฟีเจอร์นี้แล้ว จะสะดวกขึ้นตรงที่ไม่ต้องคอยปิดหูฟังเพื่อประหยัดพลังงาน แต่ผมพบว่าพอใช้กับ iPhone การเชื่อมต่อบลูทูธมันช้ากว่าบน Android อยู่พอสมควรซะงั้น
นอกจากนี้ผมยังพบว่า ถ้าเกิดเราใช้ Smart Magnet ปิดการทำงานของหูฟังไปพักใหญ่ๆ แล้วในระหว่างนั้น ตัวสมาร์ทโฟนอยู่ไกลจากหูฟังแบบ นอกระยะของบลูทูธไปพักใหญ่ๆ ก็จะมีประเด็นว่า พอเราเอากลับมาใช้ต่อ ตัวหูฟังจะไม่ได้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งตรงนี้พอคิดดีๆ แล้ว ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติ เพราะ Smart Magnet นี่เอาไว้สำหรับ “หยุดการทำงานของหูฟังแบบชั่วคราว” กรณีที่ตัวหูฟังกับสมาร์ทโฟนยังอยู่ใกล้กัน แต่เราไม่ได้คิดจะใช้งานในระหว่างนั้น แต่แบบว่าอยากให้หูฟังมันพร้อมสแตนด์บายเอาไว้ จะใช้เมื่อไหร่ก็พร้อม แต่ถ้าเกิดเราจะไม่ใช้งาน แล้วให้สมาร์ทโฟนกับหูฟังอยู่ห่างกันไปพักใหญ่ๆ เลย แบบนี้ ปิดหูฟังไปเลยจะดีกว่าครับ

พอเชื่อมต่อแอปแล้ว เราสามารถปรับ Equalizer ของหูฟังได้ แต่น่าเสียดายที่เขาทำ Preset มาให้สองแบบเอง คือ เน้นเสียงแหลม (Treble) เพื่อให้ดนตรีเสียงใสขึ้น หรือตอนที่ต้องการดูเนื้อหาที่เน้นการพูด (เช่น ฟัง Podcast) ก็จะได้ยินเสียงพูดชัดเจนขึ้น กับ เน้นเสียงย่านต่ำ (Bass) เพื่อให้เสียงต่ำนี่ฟังแล้วตึบขึ้น ดูหนังแนว Action มันขึ้น … นี่ถ้าสามารถทำเป็นตาราง EQ ให้ปรับได้เลย ผมว่าจะดีกว่านี้มาก เพราะหูของแต่ละคน มีความแตกต่างกันไป ถ้าจูน EQ ให้ดีๆ นี่ มันจะดีมาก แต่เสียดาย เจ้านี่ทำไม่ได้
บทสรุปการรีวิว Plantronics BackBeat Go 410
บอกได้คำเดียวว่า ดีมาก คุณภาพเสียงน่าประทับใจทีเดียว แล้วมี ANC ช่วยตัดเสียงรบกวน ทำให้ได้ฟังเพลงแบบสงบๆ ด้วย ดีไซน์แบบคล้องคอ ทำให้สะดวกต่อการพกพาและใช้งานเมื่อต้องกันได้จริงๆ คือ ไม่ต้องเสียเวลาหยิบเข้าหยิบออก แค่หยิบหูฟังมาเสียบหู จบเลย ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมาตั้งกะลอง Plantronics BackBeat 105 แล้ว สนนราคาค่าตัว 4,590 บาท คือว่าคุ้มค่า ไม่แพงมาก กับหูฟังคุณภาพเสียงแบบนี้
โดยส่วนตัว ผมเอามาใช้เป็นหูฟังหลักได้สบายๆ เลย เวลาขี่สกู๊ตเตอร์ไปทำงาน ก็เสียบไว้หูนึง ฟังเพลง ฟังพอดแคสต์เวลาขี่สกู๊ตเตอร์ เวลามีคนโทรมา ก็สามารถกดรับคุยสายได้เลย พอถึงที่ทำงาน ก็ใช้แทนหูฟังไร้สายเวลาจะโทรศัพท์ได้อีก เอามาใช้เข้าประชุมออนไลน์ผ่าน Skype หรือโปรแกรมจำพวก Webinar ต่างๆ ก็สะดวกมากๆ
ใครสนใจสอย คลิกลิงก์ด้านล่างได้เลยฮะ