ผมยังจำได้อยู่เลยว่าปลายปีที่แล้ว อยากได้สมาร์ทโฟนแบบที่หน้าจอแสดงผลเต็มพื้นที่ กล้องหน้าถูกซ่อน ตอนนั้นยังมีให้เลือกแค่ OPPO Find X (ราคาสองหมื่นปลายๆ) กับ Xiaomi Mi Mix 3 (ราคาหมื่นปลายๆ) แต่พอได้ Huawei Y9 Prime 2019 นี่มา ก็แบบว่า เอิ่ม เดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนจอแสดงผลเต็มพื้นที่ กล้องหน้าป๊อบอัพ หน่วยประมวลผลระดับกลางๆ แรม 4GB ความจุ 128GB มันราคาแปดพันบาทมีทอนแล้วเรอะ (คือ ต้องเข้าใจนะ ผมไม่ค่อยได้รีวิวสมาร์ทโฟนซักเท่าไหร่แล้ว เพราะรุ่นเรือธงราคามันแพงซะเหลือกิน) … เอาล่ะ ได้เวลามาหาคำตอบแล้วว่า เจ้านี่มันดีเพียงพอสำหรับตอบโจทย์ต่างๆ ไหม?
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
บล็อกตอนนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก Huawei Thailand ให้ยืม Huawei Y9 Prime 2019 มาใช้เขียนรีวิว แต่ความเห็นทุกอย่างในรีวิวตอนนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ทาง Huawei Thailand ไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการกำหนดเนื้อหาทั้งสิ้น
แกะกล่องดูหน้าตาของ Huawei Y9 Prime 2019
จากที่ผมเห็นภายในกล่องของตัว Demo unit ที่ผมได้มานั้น ก็ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง Huawei Y9 Prime 2019 สีน้ำเงิน ที่ติดฟิล์มกันรอยมาเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งไม่แน่ใจว่าเวอร์ชันขายจริงนั้น จะมีติดฟิล์มกันรอยมาให้เสร็จเลย หรือแถมมาให้ในกล่องแล้วให้ไปติดกันเอาเอง) สภาพก็มีร่องรอยบ้างเล็กน้อย หลังจากผ่านมือของบล็อกเกอร์คนอื่นๆ มาประมาณนึง และไม่ต้องห่วงเรื่องเคส เพราะเขาแถมเคสซิลิโคนมาให้แล้ว ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของคนที่ใช้เคสแบบนี้ คงต้องทำใจนิดนึงว่า จะทำให้ไม่สามารถแสดงความสวยของตัวเครื่องได้เต็มที่ แม้ว่ามันจะเป็นเคสแบบใสก็ตาม และเมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะมีรอยขีดข่วนมากขึ้น (เพราะเป็นซิลิโคนแบบนิ่ม) และสีก็จะเริ่มเหลืองขึ้นด้วย นอกจากนั้นแล้วก็มี ที่ชาร์จแบบ 5V 2A กับสาย USB-C มาให้ กับหูฟังแบบ 3.5 มม.

หน้าจอแสดงผลขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียดสูงระดับ Full HD+ 2340×1080 แบบ LTPS (อ่านความแตกต่างของหน้าจอแสดงผลแต่ละแบบได้จากเว็บไซต์ Bacidea) มีการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ อัตราส่วนการแสดงผล 19.5:9 ตามสมัยนิยม เพราะมีการซ่อนกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลแบบ Fixed Focus (FF) เอาไว้ ไม่มีปุ่มอะไรอยู่บนหน้าจอแล้ว

ส่วนด้านหลังของตัวเครื่อง ยังมีตัวสแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหลัง ในตำแหน่งมาตรฐาน มีกล้อง 3 ตัว คือ กล้องเลนส์ปกติ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล กล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้องที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์วัดระยะลึก ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อม LED flash
รอบๆ ตัวเครื่อง ด้านบนก็จะมีรูไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนขณะโทรศัพท์และเอาไว้บันทึกเสียงวิดีโอแบบสเตริโอ มีถาดใส่ซิมอยู่ด้านบน (ซึ่งดี เพราะเวลาใส่เคสแล้ว ด้วยความที่เป็นกล้องป๊อบอัพ ด้านบนของเคสจะเปิดโล่ง ทำให้เวลาถอดเปลี่ยนซิมไม่ต้องถอดเคสด้วย) แล้วก็มีช่องของกล้องป๊อบอัพอยู่ ส่วนด้านล่างก็มีลำโพงของตัวเครื่อง พอร์ต USB-C รูไมโครโฟนสำหรับสนทนาโทรศัพท์และสำหรับบันทึกเสียงวิดีโอแบบสเตริโอ แล้วก็ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ส่วนปุ่ม Power และ Volume นี่อยู่ด้านขว่ของตัวเครื่อง ถาดใส่ซิมเป็นแบบที่ใส่นาโนซิมได้สองอัน แต่ถ้าเกิดอยากใส่ MicroSD card ก็ต้องตัดใจไม่ใส่ซิมอันที่สองครับ
น้ำหนักของตัวเครื่อง 196.8 กรัม หรือเฉียดๆ สองขีด ถ้าเป็นสมัยก่อนคนคงบ่นกันตรึมว่าหนัก แต่สมัยนี้น้ำหนักประมาณนี้ กับสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ขนาดนี้ มันเป็นเรื่องปกติแล้วครับ และเพราะขนาดของสมาร์ทโฟนมันใหญ่ขึ้น ก็เลยส่งผลให้เกิดการกระจายน้ำหนักดีขึ้น ทำให้เราไม่รู้สึกว่าสมาร์ทโฟนมันหนักมากเหมือนแต่ก่อน (แต่จะรู้สึกถึงน้ำหนักตอนเอามันใส่กระเป๋าสะพาย หรือกระเป๋ากางเกง)
ประสบการณ์ในการใช้งาน Huawei Y9 Prime 2019
จอขนาด 6.59 นิ้วของ Huawei Y9 Prime 2019 นี่ พอได้จับของจริงแล้วคือ มันใหญ่เอามากๆ เลยครับ และตัว User Interface เองก็ออกแบบมาให้ดูใหญ่โตอลังการ แม้ว่าความละเอียดหน้าจอจะสูง ซึ่งผมชอบ ตัวนี้มาพร้อมกับสเปกคือ Kirin 770F ซึ่งดูจะเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่มาก ใหม่ขนาดที่ผมหาข้อมูลไม่ได้เลยว่าเป็นยังไงบ้าง ทั้งจากเว็บไซต์ของ Huawei เอง หรือแม้แต่จาก Google (ณ วันที่เขียนบล็อกตอนนี้) คือหาเจอแต่ข้อมูลของ Kirin 710 อ่ะ หน่วยความจำที่ให้มาก็มีขนาด 4GB ซึ่งถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาสมาร์ทโฟน 7,990 บาทนี่ แต่ที่ผมชอบคือ ให้ความจุมามากถึง 128GB และให้แบบความเร็วค่อนข้างสูงมาเลย เพราะผมลองทดสอบ Disk speed แล้ว ได้ความเร็วการอ่านและเขียนที่ 143MB/s และ 243MB/s ตามลำดับ ซึ่งถือว่าสูงมากทีเดียว แบบที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นในราคาประมาณนี้ (ขนาด Wiko View3 เอง แม้จะให้ความเร็วในการอ่านมาสูง แต่ความเร็วในการเขียนค่อนข้างปกติมาก)

เจ้านี่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 9 (Pie) และเพิ่งมีอัพเดตหมาดๆ ที่ให้เป็น Security patch ของเดือนมิถุนายน และเราสามารถเลือกได้ว่าจะยังคงใช้ Navigation button แบบบนหน้าจอเหมือนเดิม หรือจะเปลี่ยนมาเป็นแบบ Gesture ตามสมัยนิยม (ที่เริ่มต้นจาก Apple iPhone X) ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้ ผมเลือกที่จะใช้แบบ Gesture ซึ่งจะแตกต่างจากของที่มาพร้อมกับ Android Pie นะ แต่จะคล้ายๆ กับของ Xiaomi Mi Mix 3 ซะมากกว่า จนทำให้ผมรู้สึกแบบว่า มันพัฒนามาจากพื้นฐานเดียวกันเหรอไงเนี่ย

เพราะอานิสงส์มาจากหน่วยประมวลผลที่ประสิทธิภาพค่อนข้างโอเค และมี Storage ที่ความเร็วค่อนข้างสูง การใช้งานต่างๆ บน Huawei Y9 Prime 2019 เลยค่อนข้างลื่นไหล ถูกใจมาก แต่ผมยังไม่ชอบตรงที่มันดันมี Bloatware มาหลายตัวมาก ไม่ว่าจะเป็น Agoda, Comico และ Lazada ซึ่งไม่ใช่อะไรที่คนส่วนใหญ่จะใช้กันเป็นมาตรฐาน (อืมมมม Lazada นี่ไม่แน่ คนไทยจำนวนไม่น้อยซื้อของบนแพลตฟอร์มนี้กันนี่นะ) ส่วนแอปพวกโซเชียลมีเดีย มี Facebook มาให้อยู่แล้ว อันนี้คนจำนวนมากใช้กัน ผมเลยไม่ขอนับเป็น Bloatware ละกัน แต่ดันไม่มี LINE มาให้ … แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะดาวน์โหลดติดตั้งกันเองได้
User Interface ต่างๆ ค่อนข้างตรงไปตรงมา แบบ Android มาตรฐาน ใครที่คุ้นๆ กับระบบปฏิบัติการ Android อยู่แล้วน่าจะใช้ได้แบบไม่ต้องไปปรับตัวใหม่ (ซึ่งผิดกับ Vivo ที่พยายามทำตัวเหมือนระบบปฏิบัติการ iOS เอา QuickSettings มาอยู่ด้านล่างแทน แล้วต้องปาดจากด้านล่างขึ้นด้านบน ซึ่งคนที่ไม่คุ้นชินนี่ต้องเรียนรู้กันนิดนึง ผมเอาให้แม่ใช้ ต้องสอนกันใหม่พอสมควร แล้วเดี๋ยวถ้าเปลี่ยนเครื่องไปยี่ห้อ/รุ่นอื่น ก็ต้องมาสอนกันใหม่อีกรอบ)

ลองเอามาเล่นเกม ROV ที่ปัจจุบันก็ปรับแต่งกราฟิกได้ค่อนข้างละเอียดมากขึ้น เจ้านี่สามารถปรับเล่น HD Display ได้ เลยสามารถใช้ประโยชน์จากหน้าจอ Ultra FullView Display ของตัวเครื่องได้เต็มที่ ปรับ Particle Quality เป็นระดับสูงสุดได้ แต่ในส่วนของคุณภาพกราฟิก ทำได้แค่ระดับกลางเท่านั้นครับ และเล่นแบบเฟรมเรตสูงไม่ได้ มันไปตันที่ 30fps ตลอดครับ แต่เท่าที่ลองเล่นดู มันก็เต็ม 30fps ยาวเลยนะ เพียงแต่ผมมันเป็นพวกผู้เล่นกระจอก ไม่ค่อยได้เห็นการบวกกันของผู้เล่นหลายๆ คนพร้อมๆ กัน และใส่ท่าไม้ตายกันเยอะๆ ซักเท่าไหร่

ตอนนี้สำหรับหลายๆ คนแล้ว แบรนด์ Huawei เป็นแบรนด์ที่มีกล้องดิจิทัลที่ถ่ายรูปได้ดีมากแบรนด์นึงเลย แต่นั่นคือพวกรุ่นเรือธงครับ แต่ตัว Huawei Y9 Prime 2019 นี่เขาชูจุดขายที่กล้องตรง AI Camera และเลนส์แบบ 6 ชิ้น ที่บอกว่าให้ภาพคมชัด สดใส สมจริง ไอ้ผมก็เลยแอบมีความคาดหวังกับเจ้านี่อยู่ไม่น้อย และเมื่อได้ลองใช้งานดูแล้ว ในส่วนของ User Interface นี่ผมว่าใช้งานไม่น่าจะยากเท่าไหร่ มีลูกเล่นต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดการถ่ายภาพต่างๆ อาทิ พาโนรามา, AR lens, Light painting, Sticker และมีโหมด Pro ที่ให้เราปรับแต่งค่าได้โดยละเอียด เช่น ISO (สูงสุด 3200), ความเร็วชัตเตอร์, Exposure level, โฟกัส, White balance อะไรพวกนี้
แต่ผมไม่ชอบ User Interface ตรงที่ดันเอาการเปิดปิด HDR ไปเป็นโหมดการถ่ายภาพซะงั้น ในขณะที่หลายๆ ยี่ห้อ หลายๆ รุ่น เขาให้เป็นแค่สวิตช์เปิดปิด หรือจะเปิดออโต้ไปเลยก็ได้ ซึ่งจะสะดวกต่อการถ่ายภาพมากกว่า และผมก็แปลกใจที่เจ้านี่ไม่มีฟีเจอร์การใส่ลายน้ำให้กับภาพซะงั้น ภาพทุกภาพที่ผมถ่ายก็เลยไม่มีลายน้ำ Huawei AI Camera เลย (ฮา) … แต่การไม่มีฟีเจอร์ใส่ลายน้ำ ผมว่าก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอกนะ เพราะโดยส่วนตัว ถ้าผมอยากถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก ผมก็ไม่อยากใส่ลายน้ำหรอก (ลายน้ำ ถ้าอยากใส่จริงๆ หาโปรแกรมอื่นมาใส่ทีหลังได้)
คุณภาพของภาพถ่าย แม้ว่าเซ็นเซอร์ของกล้องจะมีความละเอียดสูง 16 ล้านพิกเซล แต่จากที่ผมลองถ่ายภาพดู ตัวซอฟต์แวร์กล้องจะมีความพยายามในการทำภาพให้สว่างมาก จนรายละเอียดบางอย่างของภาพมันหายไป ความคมชัดก็หายไป แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้คิดจะซูมเข้ามาดูหนักๆ ก็จะไม่ได้สังเกตอะไรพวกนี้หรอกนะครับ ลองดูภาพตัวอย่างด้านล่างได้
จริงๆ ผมแอบเสียดายที่ตอนที่อากาศดีๆ ผมไม่มีโอกาสได้หยิบเจ้านี่ออกไปถ่ายภาพซักเท่าไหร่ แต่พอวันที่ว่างจะไปเดินถ่ายรูป ก็มีพายุเข้าซะงั้น เลยอดถ่ายภาพสวยๆ ฟ้าใสๆ เลย และฟ้าที่ครึ้มๆ ก็ทำให้คุณภาพของภาพถ่ายมันดรอปลงมาอีกแฮะ โดยส่วนตัวของผม อย่างที่บอก ซอฟต์แวร์มันพยายามทำภาพให้สว่าง จนรายละเอียดของสีมันหายไปบ้าง เวลาที่ซูมดูเน้นๆ แต่ดีตรงที่ว่าเซ็นเซอร์มีความละเอียดสูง 16 ล้านพิกเซล พวกรายละเอียดจำพวกตัวอักษร อะไรพวกนี้ ก็เลยยังดูชัดอยู่ แม้จะลองซูมดูแล้ว
ลองเอามาถ่ายภาพในร่มดู แล้วมีหลอดไฟให้แสงสว่างประมาณนึง เช่น ที่ศาลเจ้าจีน หรือ ตู้เบเกอรี่ของร้านสตาร์บั๊คส์ ภาพที่ได้ก็ยังสว่างดีอยู่ แต่พวกรายละเอียดของภาพก็จะดรอปลงอีกเช่นกัน ถ้าซูมดูเยอะๆ ความคมชัดก็ดรอปลงด้วย แต่ก็เป็นเรื่องปกติของการถ่ายภาพในร่ม
จากการทดลองถ่ายภาพหลายๆ ภาพ ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ผมตั้งข้อสังเกตเพิ่มตรงที่ว่าตรงมุมๆ ของภาพถ่ายเนี่ย สัดส่วนของวัตถุมันดูเบี้ยวๆ เหมือนกับการถ่ายภาพด้วยกล้องเลนส์มุมกว้าง ฉะนั้นแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพหมู่บุคคลจำนวนมาก แล้วตั้งกล้องแบบที่ให้คนสุดท้ายอยู่ชิดติดขอบของเฟรมภาพนะครับ
กล้องหลังของ Huawei Y9 Prime 2019 เป็นแบบกล้องคู่ แต่เป็นสไตล์เดียวกับ LG G6 ที่มีกล้องมุมปกติกับกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultrawide) ซึ่งถามว่าเดือดร้อนไหม ก็ไม่มาก แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า การมีเลนส์อีกตัว ที่ให้ภาพแบบเทเลโฟโต้ 2x เนี่ย จะช่วยให้สะดวกในการถ่ายภาพในหลายๆ สถานการณ์มากขึ้น … และจากการที่ได้ลองถ่ายภาพดูด้วยเลนส์มุมกว้างพิเศษ ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเจ้านี่มีปัญหาแบบเดียวกับ LG G6 เลยครับ คือ ด้วยความที่ความละเอียดเซ็นเซอร์มันต่ำกว่ากล้องหลัก (อันนี้ 8 ล้านพิกเซล) ภาพที่ได้จะยิ่งสูญเสียรายละเอียดไปมากกว่าปกติเข้าไปอีก ถ้าเราดูภาพขนาดเต็มของรูปที่สอง ที่เป็นรูปที่ถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้างพิเศษ จะเห็นว่ารายละเอียดของพื้นอิฐ และหน้าคน คือ ขาดความคมชัดอย่างมากทีเดียว
กล้องหน้าแบบป๊อบอัพ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ดูแล้วเป็นกล้องแบบมุมกว้าง คงกะว่าให้ถ่ายเซลฟี่ออกมาแล้ว ได้ทั้งภาพบุคคลและวิวทิวทัศน์กันแบบเต็มๆ มาก แต่มันก็มีปัญหาตามมาคือ ภาพตรงขอบๆ ภาพจะมีความบิดเบี้ยวเกิดขึ้น ดูรูปหน้าแฟนผมได้ หน้ายาวลงมาผิดปกติกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ตัวเลนส์ยังเป็นแบบ Fixed focus อีกต่างหาก ไม่สามารถปรับโฟกัสตามจุดได้ดังใจเท่าไหร่ เวลาถ่ายก็เลยต้องให้แน่ใจว่ายืดแขนยาวสุดดีพอ เพราะเลนส์จะไม่ปรับโฟกัสให้ (ที่แตะหน้าจอแล้วมันเหมือนจะปรับโฟกัสได้ มันแค่จะปรับความสว่างของภาพตามจุดที่แตะเท่านั้น)
จะกล้องหน้าหรือกล้องหลังของ Huawei Y9 Prime 2019 ก็เป็น AI Camera ทั้งนั้นครับ ระบบ AI จะช่วยตรวจจับสถานการณ์ของภาพถ่าย และเลือกการปรับตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดให้โดยอัตโนมัติ แต่จากที่ผมลองถ่ายดูหลายๆ แบบ ผมว่ามันก็ไม่ได้ปรับอะไรให้มากมายเท่าไหร่นะ (แต่เรื่องการตรวจจับสถานการณ์ของภาพถ่าย มันทำได้ แม้จะไม่ได้รวดเร็วมากแบบพวกรุ่นที่เป็นเรือธง) และก็เหมือนตรวจจับได้ไม่กี่แบบ ขนาดตอนถ่ายแมว มันก็ไม่มีการตรวจจับว่าเป็นการถ่ายสัตว์เลี้ยงแฮะ

แม้ว่ากล้องหน้าแบบป๊อบอัพของ Huawei Y9 Prime 2019 จะเป็นกล้องเดี่ยว แต่ก็ได้ AI นี่แหละ ที่ช่วยทำให้สามารถทำหน้าชัดหลังเบลอ หรือการใส่แสงแบบต่างๆ ให้กับภาพถ่ายบุคคลได้ แต่จากที่ผมลองใช้ดู การเบลอด้วย AI แบบกล้องเดี่ยว ก็เนียนสู้การเบลอด้วย AI แบบกล้องคู่ ไม่ได้ครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อมีข้อมูลมาให้มากกว่า AI ก็ย่อมสามารถประมวลผลแยกภาพบุคคลกับแบ็กกราวด์ได้ดีกว่า … โดยความเห็นส่วนตัว ผมว่าภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ AI Camera กล้องเดี่ยวของเจ้านี่ ไม่ค่อยเนียนพอที่จะเอาไปใช้ได้จริง แม้แต่การโพสต์บนโซเชียลมีเดียก็ตาม

ตัวกล้องป๊อบอัพนั้น ใช้เวลาประมาณ 1 วินาทีในการเลื่อนขึ้นมาใช้งาน ก็อาจจะต้องรอแป๊บนึงก่อนจะใช้งานได้ ตัวระบบมีการอาศัยข้อมูลจาก Accelerometer เพื่อตรวจจับว่าตัวเครื่องกำลังตกหล่นอยู่หรือเปล่า ซึ่งหากตรวจจับได้ว่าน่าจะมีการตกหล่น มันจะสั่งหดกล้องกลับโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ ผมลองปล่อยเครื่องให้ตกแบบอิสระดูแล้ว มันก็หุบกล้องได้ค่อนข้างรวดเร็วดีครับ (แต่ผมไม่ได้ปล่อยให้เครื่องตกลงพื้นนะ เอามือรองรับไว้ก่อน) แต่ก็อย่างที่บอก มันใช้เวลาประมาณเกือบๆ 1 วินาที ดังนั้น หากตกจากที่สูงไม่มาก มันก็อาจจะเสียหายได้นะครับ … ทาง Huawei เขาบอกว่าได้ทำการทดสอบแล้ว เจ้ากล้องป๊อบอัพนี่สามารถทนต่อแรงกดได้ 15 กิโลกรัม และเปิดปิดได้มากกว่า 100,000 ครั้งเลยทีเดียว ผมก็ลองทดสอบแบบง่ายๆ ด้วยการเอานิ้วมือหนีบตัวกล้องเอาไว้ แล้วปล่อยให้ตัวเครื่องสมาร์ทโฟนมันลอยเหนือพื้นในแนวดิ่ง มันก็รับน้ำหนักสมาร์ทโฟนได้สบายๆ (ซึ่งก็แหงล่ะ ถ้ามันสามารถรับแรงกดได้ 15 กิโลกรัม แค่นี้ควรจะขี้ปะติ๋วมาก) แต่การที่มันรับน้ำหนักได้ประมาณนี้เป็นอย่างน้อย ก็ทำให้วางใจได้ประมาณนึง (เช่น เผื่อมีเด็กเอาไปเล่น)
บทสรุปการรีวิว Huawei Y9 Prime 2019
จริงๆ แล้ว ด้วยสนนราคา 7,990 บาท ผมว่าสเปกที่ Huawei Y9 Prime 2019 ให้มานี่ ถือว่าครบเครื่องดีมาก หน้าจอก็ความละเอียดสูง ดีไซน์ก็สวย ได้หน้าจอเต็มๆ ไม่มีติ่งใดๆ ได้กล้องป๊อบอัพอีกตะหาก ดูดีงามมาก หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ ความจุของตัวเครื่อง ก็ดีพอสำหรับการใช้งานทุกๆ ด้าน เอามาเล่นเกม แม้จะไม่ได้ความละเอียดระดับสูงสุด แต่ก็เล่นได้ชิลๆ แล้ว ถ้าจะให้ผมหาเรื่องติรุ่นนี้ ผมว่าต้องติที่กล้องแบบเต็มๆ เพราะมันทำให้ผมต้องพูดว่า Huawei เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่กล้องดิจิทัลถ่ายภาพได้สวย … แต่มันไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกรุ่นน่ะสิ