ทาง Huawei เขาส่งสมาร์ทโฟนเรือธงตัวล่าสุด ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่ฮือฮามาให้ลองครับ แต่เกิดความผิดพลาดนิดหน่อย คือ แทนที่จะได้เป็น Huawei P30 Pro มา กลับได้เป็น Huawei P30 มาแทน แต่เพื่อไม่ให้มาเสียเปล่า ก็เลยขอทำการพรีวิวแบบรวบรวม เน้นเรื่องกล้องเป็นหลัก และโฟกัสไปที่การถ่ายภาพสำหรับท่องเที่ยวและความเป็นติ่งนะครับ เพราะดูๆ ไปแล้ว การถ่ายภาพคือจุดเด่นของสมาร์ทโฟนตัวนี้พอดี
แล้วทำไมต้องเน้นไปที่การเที่ยวกับความเป็นติ่ง? อันดับแรกก็เป็นเรื่องของความสามารถในการถ่ายภาพ ที่หลายๆ คนก็ยอมรับกันว่าถ่ายภาพออกมาได้สวยมาก และตัว Huawei P30 Pro ที่เป็นรุ่นท็อปก็ได้คะแนนจาก DXOMark สูงสุดในตลาดสมาร์ทโฟนตอนนี้ (ณ เวลาที่เขียนบล็อกนี้) คือ 112 คะแนน (คะแนนส่วนของ Mobile) เอาชนะ Samsung Galaxy S10+ ที่ออกมาก่อนหน้า ซึ่งได้ 109 คะแนนไปแล้ว (แต่คะแนนในส่วนของ Selfie นี่ Samsung Galaxy S10+ ชนะไป 96 ต่อ 89 นะครับ) และการที่มันมีเลนส์ทุกช่วง ตั้งแต่ Ultrawide (0.6x) ที่เอาไว้ถ่ายภาพในมุมกว้าง เหมาะสำหรับการถ่ายวิวและภาพหมู่เป็นอย่างยิ่ง ไปจนถึง Wide (1x) ที่เอาไว้ถ่ายภาพในมุมปกติ ไปจนถึง Telephoto (Optical 3x) ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้มันเหมาะกับการนำไปถ่ายตอนเที่ยวในทุกสถานการณ์จริงๆ ครับ พกสมาร์ทโฟนเบาๆ ไป สะดวกกว่าพกกล้องใหญ่ๆ ไปเยอะ
ส่วนในเรื่องของความเป็นติ่งนี่ จากประสบการณ์ที่เคยพาตัวเองเข้าสู่วงการติ่งมาพักใหญ่ๆ บอกได้เลยว่าฟีเจอร์หลายๆ อย่างของ Huawei P30 และ Huawei P30 Pro นี่มันน่าจะถูกใจติ่งมากครับ อย่างแรกเลยคือรูปร่างหน้าตาที่กะทัดรัดด้วยความเป็นสมาร์ทโฟน สีสันสวยงามถูกใจสาวๆ พกพาไปสะดวก หยิบฉวยขึ้นมาถ่ายรูปศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบได้สะดวก เอาเข้าคอนเสิร์ตก็ได้ (ปกติคอนเสิร์ตจะห้ามเอาพวกแท็บเล็ตเข้า และตรวจตรากล้องเข้มงวดมาก … แม้จะมีเทคนิคต่างๆ ในการแอบเอาเข้าไปได้เยอะก็เหอะ) การซูม Optical 3x ได้ และสามารถพ่วงกับการซูมแบบดิจิทัลไปได้อีก 10x รวมเป็น 30x นี่ทำให้ถ่ายภาพจากที่ไกลๆ ได้สะดวกขึ้นมาก ถ้าจะถ่ายวิดีโอก็ได้สูงสุดถึง 4K และสามารถซูมแบบ Hybrid เป็น 10x ก็น่าจะเหลือเฟือสำหรับการใช้งานแล้ว
เอาล่ะ เกริ่นนำมานานพอแล้ว ได้เวลาพรีวิวกัน
อย่างที่บอกไปในตอนต้น Huawei P30 นี่มีดีไซน์ที่สวยงามดีจริงๆ ครับ โดยเฉพาะด้านหลัง ที่มีเฉดสีแบบไล่ให้ดูเลื่อมๆ สวยมาก และแม้ว่าด้านหลังจะเป็นกระจก แต่ด้วยสีสันของตัวเครื่อง มันทำให้สังเกตยากเวลาที่มีคราบมันๆ จากมือมาเลอะ แอบรู้สึกดีงาม เพราะปกติผมจะไม่ชอบการดีไซน์ที่มีกระจกด้านหลังแบบนี้ก็เพราะว่าเห็นคราบมันจากมือชัดๆ นี่แหละครับ

ดีไซน์รอบๆ ตัวเครื่องเป็นแบบที่เน้นส่วนโค้ง จับแล้วรู้สึกสบายมือ และดูสวยงาม แต่ตรงด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ปาดเรียบเลย ดูแปลกตาดีเหมือนกัน ด้านซ้ายมีถาดใส่ซิมและ MicroSD card ส่วนด้านขวาก็เป็นปุ่ม Volume และ Power ในขณะที่ด้านล่างมีพอร์ต USB-C เอาไว้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และชาร์จแบตเตอรี่ มีรูไมโครโฟน ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และลำโพงของตัวเครื่อง

ตัวเครื่องเรียกว่าค่อนข้างบาง และให้ความรู้สึกว่าเบาเอาเรื่องทีเดียว แต่มันจะมีส่วนของเลนส์ที่นูนออกมาประมาณนึงนะครับ แต่คิดว่าคงไม่ต้องห่วง เพราะว่าส่วนใหญ่น่าจะใส่เคสกัน มันจะมีเคสใสแถมมาให้น่ะครับ (แต่ผมใส่ให้ดูตรงนี้ไม่ได้ เพราะอย่างที่บอก ผมได้เครื่องสลับมา กล่องมันเป็น Huawei P30 Pro แต่เครื่องในกล่องเป็น Huawei P30 … ฮา)
ในส่วนของสเปกนี่คงไม่ต้องให้อธิบายกันมาก ก็เป็นรุ่นเรือธงนี่นา มันมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Kirin 980 แรม 8GB กับความจุ 128GB เรียกว่าอัดมาเต็มมา โดยเฉพาะเมื่อคิดที่ราคา 21,900 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่โหดมาก เพราะถูกกว่า Samsung Galaxy S10 (8GB/128GB) ที่เริ่มต้นที่ 31,900 บาท มีลำโพงแบบโมโน เสียงดังพอดูทีเดียว แต่แอบเสียดายครับ เดี๋ยวนี้หลายๆ ยี่ห้อเขาพยายามทำลำโพงให้เป็นสเตริโอ โดยเอาลำโพงที่ใช้คุยโทรศัพท์มาเสริม ซึ่งช่วยให้มิติของเสียงดีขึ้นมา แต่สมาร์ทโฟนค่ายแอนดรอยด์ไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่แฮะ
GPS ของ Huawei P30 เป็นยังไงบ้าง?
มีแฟนเพจถามผมขอให้ผมช่วยรีวิว GPS ของเจ้านี่ด้วย แต่เนื่องจากผมมีเวลาอยู่กับมันน้อยมาก ก็เลยไม่ได้มีโอกาสลองแบบเต็มๆ เท่าไหร่ แต่พอดีว่าเมื่อเย็นที่ผ่านมามีความจำเป็นต้องขับรถไปแถววิภาวดีพอดี ก็เลยถือโอกาสเอานำทางไปเลยครับ อยู่กับมันไม่นาน ขี้เกียจขนาดไม่อยากใส่ซิมด้วยซ้ำ ก็เลยเน้นที่การดึงเน็ตมาจาก iPhone 8 Plus แทน แล้วก็ใช้ GPS บนเครื่องนำทางไปครับ

ผมไม่ค่อยชอบยุ่งยากด้วยการทดสอบ GPS ผ่านแอปว่าเห็นดาวเทียมกี่ดวง จับเร็วแค่ไหน อะไรแบบนี้ ผมหยิบ Google Maps ขึ้นมาเปิด เรียกใช้งาน ให้มันหาพิกัดที่อยู่ของผม แล้วลองนำทางไป จากนั้นดูไปเรื่อยๆ ว่ามีจังหวะไหนหาพิกัดตัวเองไม่เจอบ้าง อะไรแบบนี้มากกว่า ก็ต้องบอกว่า Huawei P30 นี่สามารถนำทางได้ดีทีเดียว พิกัดค่อนข้างแม่นยำ และการอัพเดตพิกัดที่อยู่เป็นไปได้ค่อนข้างรวดเร็วเลยครับ
มาคุยเรื่องกล้องของ Huawei P30 กันแบบเน้นๆ
แม้จะไม่ใช่รุ่นท็อป แต่ Huawei P30 ก็มาพร้อมกับกล้องดิจิทัลแบบมีเลนส์ครบช่วงเลย คือ
- Wide 40 ล้านพิกเซล f/1.8 ระยะโฟกัส 27 มม. ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.7″ PDAF/Laser AF
- Ultrawide 16 ล้านพิกเซล f/2.2 ระยะโฟกัส 17 มม. ขนาดเซ็นเซอร์ PDAF/Laser AF
- Telephoto 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ระยะโฟกัส 80 มม. ขนาดเซ็นเซอร์ 1/4″ PDAF/Laser AF
แอบดูจากสเปกแล้ว เขาเขียนว่า Telephoto นี่เป็น Optical zoom 3x แต่ดูจากระยะโฟกัสแล้ว มันไม่ใช่ 3 เท่าของเลนส์ Wide แฮะ แต่ตรงนี้ผมไม่แน่ใจวิธีคิดจริงๆ ใครที่เก่งเรื่องกล้องอาจจะช่วยให้คำตอบได้ว่าเพราะอะไรเขาถึงเรียกเป็น Optical zoom 3x เพราะปกติแล้ว ระยะซูมมันจะคำนวณจากว่าเป็นกี่เท่าของระยะโฟกัสปกติอะครับ ยกตัวอย่างเช่น กล้อง Canon PowerShot SX700 HS ที่มี Optical zoom 30x แบบในรูปด้านล่างเนี่ย จะเห็นว่าระยะโฟกัสมันเริ่มจาก 4.5-135 มม. ครับ ซึ่งเอา 4.5 คูณ 30 ก็จะได้ 135 พอดีๆ เป็นต้น

User Interface กล้องของ Huawei P30 ใช้งานไส่ยากครับ ขวามือเอาไว้เลือกโหมด ส่วนซ้ายมือเป็นพวก Quick settings ของโหมดนั้นๆ แล้วโหมดมันมีให้เลือกเยอะมากเลยครับ ตั้งแต่
โหมด | คำอธิบาย |
Aperture | โหมดจำลองกล้องที่รูรับแสงขนาดต่างๆ สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 0.95 ยัน 16 เหมาะสำหรับการเลือกถ่ายวัตถุต่างๆ ได้แบบฟรีสไตล์ |
Night | โหมดสำหรับการถ่ายภาพกลางคืนโดยเฉพาะ ถ้าเลือกเป็น Auto ระบบจะทำการเลือกทั้งความเร็วชัตเตอร์และ ISO ให้เพียงพอสำหรับการทำให้ภาพสว่าง แต่เราก็สามารถปรับเลือกเองได้ โดยความเร็วชัตเตอร์ตั้งได้นานสุด 32 วินาที ส่วน ISO นี่ตั้งได้ถึง 1600 |
Portrait | โหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ เอาไว้ถ่ายภาพบุคคลโดยเฉพาะ เลือกแนวของการเบลอได้หลายแบบ มีกระทั่งการจำลองแสงแดดกระทบผ่านมู่ลี่ด้วย และมาพร้อมกับโหมดบิวตี้ หน้าสวยด้วยในตัว |
Photo | โหมดถ่ายภาพปกติ เลือกใส่ฟิลเตอร์สีได้ (ต้องปิดโหมด AI ก่อน) หรือจะเปิด AI ให้มันปรับแต่งค่าสีและแสงของภาพ ตามประเภทของภาพที่มัน Detect ได้ |
Video | โหมดถ่ายวิดีโอตามปกติ ใส่ฟิลเตอร์สีให้ภาพสีอิ่มขึ้นได้ มีฟิลเตอร์อื่นๆ ให้เลือกเสริมได้อีกหลากหลาย โดยเฉพาะ AI color ซึ่งมันจะ Detect ใบหน้า แล้วถ่ายเฉพาะตัวบุคคลเป็นสี ส่วนที่เหลือทำเป็นขาว-ดำ เจ๋งดี |
Pro | โหมด Professional ที่ให้เราปรับแต่งค่าต่างๆ ของการถ่ายได้เยอะแยะและตั้งความเร็วชัตเตอร์ได้ระหว่าง 1/4,000 วินาที ยัน 30 วินาที และปรับ ISO ได้สูงสุดถึง 204,800 เลยทีเดียว โหดมาก |
Monochrome | โหมดถ่ายภาพขาว-ดำ แต่สามารถเลือกได้เป็น Normal, Aperture, Portrait และ Pro ด้วย ซึ่งก็คือ โหมดถ่ายภาพแบบต่างๆ ที่พูดถึงไปข้างบน โดยที่ถ่ายมาเป็นขาว-ดำ นั่นแหละ |
HDR | โหมดถ่ายภาพ High dynamic range |
Filter | โหมดถ่ายภาพแบบใส่ฟิลเตอร์แสงและสีแบบต่างๆ สามารถใส่ได้แบบ Real-time เลย ถ่ายปุ๊บ รู้หมดว่าภาพจะออกมาแบบไหน |
Super macro | โหมดถ่ายภาพระยะใกล้ ถือว่าโหดมาก สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้แบบเก็บรายละเอียดไว้สุดๆ ยิ่งถ้าซูม 3x ด้วย ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าโหด |
Panorama | โหมดพาโนรามาแบบที่ใครๆ เขาก็มีกัน อันนี้เฉยๆ ครับ |
Light painting | โหมดนี้ช่วยเรื่องการถ่ายภาพแบบที่ต้องเปิดชัตเตอร์ยาวๆ ครับ ถ่ายภาพถนนตอนกลางคืนให้เห็นไฟรถยนต์เป็นสายๆ, ถ่ายภาพน้ำตกสวยๆ, ถ่ายภาพท้องฟ้าเห็นทางช้างเผือก อะไรแบบเนี้ย |
Moving picture | |
Documents | โหมดนี้เอาไว้เน้นถ่ายภาพเอกสารโดยเฉพาะเลย |
Slo-mo | โหมดถ่ายวิดีโอแบบสโลวโมชัน ได้ตั้งแต่ 4x (120fps), 8x (240fps) ไปจนถึง 32x (960fps) เลยทีเดียว และที่เจ๋งกว่าคือ สามารถถ่ายแล้วมาเลือกเอาได้ว่าอยากให้แค่ช่วงไหนที่จะเป็นจังหวะสโลวโมชัน แต่ในส่วนของ Super slo-mo นั้น จะเป็นแบบการตรวจจับอัตโนมัติ กำหนดเองไม่ได้ |
AR lens | อันนี้ถ้าจะให้อธิบายก็คือ Animoji ของ iOS นั่นแหละครับ เพียงแต่จากที่ผมลองเล่นดู การขยับของอนิเมชันไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ |
Time-lapse | ถ่ายวิดีโอแบบ Time-lapse ความละเอียด HD720p ครับ |
Stickers | โหมดนี้เอาไว้ถ่ายภาพแล้วใส่พวกข้อความต่างๆ เข้าไปในภาพ ซึ่งอาจจะเป็น วันที่เวลา สภาพภูมิอากาศ และอื่นๆ อีกมากมาย |
บอกตรงๆ Huawei นี่มีโหมดถ่ายภาพที่เยอะเหลือเฟือจริงๆ แทบจะตอบโจทย์ทุกพฤติกรรมการใช้งานเลยเหอะ แต่จะให้รีวิวแบบครบทุกโหมดคงไม่ไหวล่ะนะครับ มีเวลาเล่นแค่สองวัน และต่อให้มี 7 วันก็เหอะ บล็อกเกอร์สมัครเล่นที่รีวิวเป็นงานอดิเรกแบบผมก็จนปัญญาที่จะใช้ให้หมดทุกโหมดจริงๆ เลยขอเน้นไปที่อันที่จะได้ใช้จริงๆ แบบแทบทุกคน และมีประโยชน์จริงๆ แล้วกันนะครับ
Ultrawide 0.6x
สมัยที่ผมรีวิว LG G6 ใหม่ๆ ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกๆ เลยที่มีกล้องดิจิทัลแบบคู่ แต่เลือกที่จะใส่เลนส์ Ultrawide มาให้ แทนที่จะเป็นเลนส์ Telephoto ผมเคยบอกแล้วว่า ถ้าจะให้สมาร์ทโฟนเหมาะสำหรับการพกพาไปถ่ายรูปเที่ยว แบบตัวเดียวจบเลย มันควรจะมีเลนส์ Ultrawide, Wide และ Telephoto มันจะได้ถ่ายภาพได้ครบทุกช่วง พร้อมทุกสถานการณ์ ซึ่งปัจจุบันก็เป็นที่ได้เห็นชัดแล้วว่าการมีเลนส์ครบทุกช่วงนี้ เป็นมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงไปแล้ว
ถ้าดูภาพสองภาพด้านบน จะเห็นถือประโยชน์ของเลนส์ Ultrawide ได้ชัดเจนมากที่สุดครับ ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเลนส์ Wide (1x) นั้นจะถ่ายภาพเห็นเก้าอี้นั่งสองตัวเป็นหลัก แล้วเห็นสองตัวข้างๆ แบบแพลมๆ เข้ามาเฉยๆ แต่พอเปลี่ยนไปที่โหมด Ultrawide แล้ว เราจะถ่ายภาพเก้าอี้ได้ครบ 4 ตัวเลยครับ โหมดซูม 0.6x นี่เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการถ่ายภาพเป็นหมู่คณะแบบคนเยอะๆ แล้วเราไม่มีพื้นที่ให้ถอยไปซักเท่าไหร่ กับตอนที่ไปถ่ายเวลาไปเที่ยว (โดยเฉพาะโซนยุโรป) แล้วเจอพวกสิ่งปลูกสร้าง หรือ วิว ที่แบบว่าอลังการใหญ่โตมาก การมีเลนส์มุมกว้างพิเศษแบบนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ และที่สำคัญคือ มันถ่ายภาพมุมกว้างได้แบบที่ไม่เกิด Lens distortion ด้วย
Optical zoom 3x และ Digital zoom 10x
ในโหมดถ่ายภาพปกติด้วยเลนส์ Wide มันจะให้เลือกความละเอียดได้สูงสุดคือ 40 ล้านพิกเซล แต่มันจะมีข้อจำกัดคือในโหมดนั้นจะไม่สามารถซูมได้ เพราะความละเอียดสูงระดับนี้ มีแค่เซ็นเซอร์ของเลนส์ Wide เท่านั้นที่ทำได้ แต่หากเลือกที่ 10 ล้านพิกเซล ก็จะทำให้ปรับการซูมได้ตั้งแต่ 0.6x – 30x เลยครับ ซึ่งสามารถปรับได้ทั้งแบบแตะไอคอนเพื่อเลือกซูม 0.6x, 1x, 3x และ 5x กับแตะค้างไว้แล้วเลื่อน ซึ่งซัดไปได้สูงสุด 30x เลย ซูมได้แค่ไหน ก็ลองดูรูปด้านล่างก่อนนะครับ

อย่างไรก็ดี อยากให้ท่องจำเอาไว้ว่าเจ้านี่มี Optical zoom 3x หลังจากนั้นแล้วมันก็จะเป็น Digital zoom ที่คูณเข้าไปได้อีก 10x รวมเป็น 30x ครับ ซึ่งระยะซูมก็จะได้ประมาณรูปด้านล่างนี่ครับ ผมลองถ่ายภาพป้ายชื่อโรงพยาบาลนครธนจากบนสะพานลอยช่วงเย็นๆ ครับ รูปแรกนี่เป็นแบบ Ultrawide 0.6x ครับ ช่วงเย็นๆ ได้แสงที่ดีประมาณนึง เพราะเป็นภาพมุมกว้าง มีพื้นที่ให้วัดแสงเพื่อปรับทั้งแสงและสีเยอะ
ถัดมาคือภาพถ่ายด้วยเลนส์ Wide 1x ครับ จะสังเกตว่า แม้ภาพจะยังคงเป็นมุมกว้าง แต่มันกินพื้นที่แคบลงมาเยอะเลย ตึกตรงมุมด้านขวาหายไปสองหลังเลยเหอะ ด้านซ้ายมือ ป้ายที่อยู่ห่างออกไปก็โดนดึงเข้ามาจนล้นเฟรมออกไป แต่ด้วยความที่ยังเห็น Landscape ในมุมกว้างอยู่ ภาพที่ได้ก็ยังดูเห็นแสงสีทองของยามเย็นอยู่
Optical zoom 3x ช่วยให้เราถ่ายภาพที่อยู่ไกลๆ ได้เข้ามาเหมือนอยู่ใกล้ๆ เลยครับ แต่จะเริ่มเห็นว่าสีของภาพดูจืดๆ ลงไปแล้ว นั่นเพราะสิ่งที่อยู่ในเฟรมของภาพมันไม่ได้มากพอที่จะเอามาใช้ประมวลผลภาพเพื่อปรับแสงและสีซักเท่าไหร่แล้วยังไงล่ะครับ
ถัดมาคือ Hybrid zoom 5x ซึ่งสำหรับ Huawei P30 นี่คือระยะซูมที่เอา Optical zoom ผสมกับ Digital zoom นิดหน่อย ให้ได้ระยะซูม 5x โดยที่ไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพไป หรือพูดง่ายๆ ได้ระยะซูมพอๆ กับ Optical 5x ครับ ซึ่งจากที่ลองดูแล้ว มันก็โอเคอยู่นะครับ ภาพไม่ได้รู้สึกว่าแตกจากการซูม
และสุดท้ายคือ ซูมไปจนสุด 30x ครับ โฟกัสไปที่ป้ายชื่อโรงพยาบาลนครธน ที่อยู่ลิบๆ จะเห็นว่าซูมไปได้ไกลมากทีเดียว และด้วยความที่ซูมแบบดิจิทัลเพิ่มแค่ 10x ก็ส่งผลให้ภาพไม่ได้แตกเละเทะมาก แต่ถ้าจะถ่ายอะไรที่ใหญ่ๆ ก็ดูยังโอเคนะครับ แต่ถ้าจะถ่ายคนเนี่ย คงได้แค่ภาพคร่าวๆ ของบุคคลคนนั้นมากกว่าครับ
ลองดูว่าถ้าเกิดจะถ่ายคนแล้วจะได้เห็นประมาณไหนนะครับ เห็นพี่คนที่นั่งอยู่ด้านล่าง สมมติว่าเป็นอปป้าที่เราชื่นชอบ แล้วอยากซูมหาซะหน่อย ระยะ 4 ชั้นของห้างนี้ ก็ราวๆ 20 เมตรเห็นจะได้ครับ ลองซูมไปจนสุดที่ 30x เลย จะเห็นว่าแม้ภาพจะไม่ได้คมชัดอะไร ออกแนวฟรุ้งฟริ้งนิดๆ ด้วย แต่ก็ยังได้เห็นรายละเอียดของตัวบุคคลโอเคอยู่นะครับ ฉะนั้น ในแง่ของการซูม 30x นี่ ผมว่าสายติ่งศิลปินน่าจะยังชอบ และได้ใช้งานอยู่
ส่วนวิดีโอนั้น จะถ่ายได้สูงสุดที่ระยะซูม 10x ครับ ไม่ว่าจะถ่ายที่ความละเอียดเท่าไหร่ ซึ่งสามารถจัดไปได้ถึงระดับ 4K เลย แต่ถ้าเกิดดูจากตัวอย่างวิดีโอด้านล่าง อยากให้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้สองเรื่องครับ อย่างแรกคือ ระยะซัก 10 กว่าเมตรเนี่ย ถ่ายวิดีโอได้สบายๆ เลยครับ ถือว่าโอเค ส่วนเรื่องที่สองก็คือความลื่นไหลในการซูมครับ ซึ่งการทำ Hybrid zoom ไล่ตั้งแต่ระยะ 0.6x ไปจนถึง 10x มันต้องผ่านกล้อง 3 ตัวเลยทีเดียว ตั้งกะ Ultrawide ไป Wide ไป Telephoto แล้วตำแหน่งของกล้องแต่ละตัวมันก็อยู่เหลื่อมๆ กันไปหน่อย ดังนั้นเวลาซูมเข้าออก จะเห็นว่าตำแหน่งของภาพก็มีเคลื่อนไปนิดหน่อยเช่นเดียวกัน
Super macro บน Huawei P30
อีกฟีเจอร์นึงที่เรียกว่าเป็นฟีเจอร์เวอร์วังของ Huawei P30 ก็คือ Super macro ครับ ซึ่งเข้ามาช่วยให้มันสามารถถ่ายภาพได้แบบครบทุกระยะที่แท้ทรู ซึ่งระยะ Macro เนี่ย ปกติเขาเอาไว้สำหรับถ่ายภาพจำพวก หยดน้ำบนใบไม้ แมลง อะไรแบบนี้ มันดีงามสำหรับช่างภาพที่ต้องการภาพที่มีความละเอียดสูงๆ ซึ่งถ้าดูจากรูปด้านล่าง จะเห็นว่าในโหมดออโต้ (ปิด AI camera) กล้องจะโฟกัสภาพที่ระยะใกล้มากๆ ไม่ได้นะครับ มันจะดีที่สุดก็แถวๆ นี้
แต่ถ้าเกิดว่าเปิดใช้ Super macro แล้ว จะเห็นได้เลยว่า สามารถโฟกัสภาพในระยะใกล้มากๆ ได้ ซึ่งทาง Huawei บอกว่าใกล้ได้ระดับ 2.5 ซ.ม. เลยทีเดียว เรียกว่าเกือบจะใกล้พอๆ กับพวกกล้อง Compact ที่ชูความสามารถด้านการถ่ายแบบมาโคร ซึ่งผมจำได้ว่าเคยเห็นแบบใกล้สุดๆ คือ 1 ซ.ม. ครับ
และถ้าคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอ กดซูมไปอีก 3x เลยครับ ได้ภาพใหญ่ขึ้นแบบจริงจังมาก แต่ต้องแลกมากกับการที่พอซอฟต์แวร์มันทำ Sharpening แล้ว เหมือนภาพจะแตกไปนะครับ ดูรูปตัวอย่างด้านล่างได้
ถามว่ามันทำได้ยังไง? จากที่ผมลองเล่นกับโหมดนี้ ผมพบว่ามันเกิดจากการใช้เลนส์ Wide ครับ พูดง่ายๆ คือ ไม่ต้องเปิดโหมด Super macro หรอก แค่เลือกไปใช้เลนส์ Wide (0.6x) แล้วก็จ่อไปใกล้ๆ วัตถุ ได้ผลเหมือนกันเปี๊ยบครับ ถามว่าผมรู้ได้ยังไง? ก็ลองพยายามโฟกัสที่ระยะ 1x ดู แล้วพอมันเปลี่ยนไปเป็น Super macro บางทีจะเห็นว่าเฟรมของภาพมันเลื่อนออกไปครับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกทีนะ ผมสังเกตว่าบางที Hybrid zoom มันทำงาน มันก็ได้ภาพ Super macro ที่ระยะ 1x โดยที่เฟรมไม่เลื่อนก็มีครับ แต่ถ้าเกิดเปิดโหมดมาโคร 3x ละก็ มันเหมือนการทำ Digital zoom แต่พยายามรักษาความละเอียดของภาพไว้ที่ 16 ล้านพิกเซลเลยแหละ
การถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยด้วย Huawei P30
การถ่ายภาพทางช้างเผือกไม่ใช่เรื่องใหม่ Huawei P20 เขาก็ทำกันมาแล้ว เพราะหลักๆ มันก็คือการปรับตั้งความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าเข้าไว้ แต่ตัว Huawei P30 ก็ชูมาเป็นประเด็นหลักอีกเช่นเคยครับ อันนี้ในส่วนของ Huawei P30 ผมคงไม่มีโอกาสไปลอง เพราะได้มากะทันหัน และยังไม่ได้วางแผนจะไปที่ไหนที่จะมีโอกาสถ่ายภาพดวงดาวแบบนี้ได้ทันซะด้วยสิ การถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยนี้ Huawei P30 ได้เปรียบ เพราะปรับ ISO ไปได้ถึง 200800 เลยทีเดียวครับ เรียกว่าโหดมาก แถมตั้งเวลาชัตเตอร์ก็ได้ตั้ง 32 วินาทีเลยทีเดียว

แม้ว่า Huawei P30 จะด้อยกว่า Huawei P30 Pro แต่เมื่อเทียบกับเรือธงรุ่นอื่นๆ แล้ว ความสามารถในการถ่ายภาพของมันก็ยังดูดีงามไม่น้อยครับ อย่างที่บอกนะ ผมไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนเท่าไหร่ ฉะนั้นก็ขอเล่นมันง่ายๆ ใกล้ๆ บ้านตัวเองนี่แหละครับ เริ่มจากการถ่ายภาพตอนกลางคืน ในบริเวณถนน ซึ่งมีไฟข้างทางช่วยให้ความสว่าง เทียบแบบนี้ก่อนเลย เริ่มจาก iPhone 8 Plus ถ่ายแบบออโต้ จะเห็นว่าการมีไฟข้างทาง แม้จะเป็นกลางคืน แต่มันก็จะไม่ได้มืดอะไรมาก iPhone 8 Plus ให้สีสันที่ค่อนข้างโอเค ตรงกับสภาพจริงที่ตาเห็น
พอเอา Huawei P30 ไปถ่ายบ้าง ภาพที่ได้สีสันถือว่าตรง โอเคดีครับ ภาพที่ได้สว่างกว่า iPhone 8 Plus จริงจัง ปรับ ISO ไปถึง 2500 ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตรงเหนือเสาไฟต้นที่ใกล้สุด เราจะเห็นดาวดวงนึงด้วย ซึ่งตรงนี้ iPhone 8 Plus เก็บรายละเอียดมาไม่ได้
ลองให้แสงมันน้อยลงไปอีกครับ คราวนี้ลองที่ช่องวางของใต้บันได แสงน้อยมาก มีให้เห็นแค่แสงในห้องนั่งเล่นที่เล็ดลอดเข้ามา ตู้คือมืด สายตาของเราเองมองนี่บอกเลย มืดกว่าที่ถ่ายด้วย iPhone 8 Plus ด้านล่างนิดหน่อยด้วยซ้ำ และแน่นอน iPhone 8 Plus ก็ถ่ายภาพออกมาได้ประมาณเท่าที่ตาเราเห็นนั่นแหละ สังเกตว่าของที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูช่องวางของจะเห็นชัดหน่อย อันไหนสีขาวก็เห็นชัดหน่อย

พอเปลี่ยนมาใช้ Huawei P30 ปุ๊บ ระบบออโต้ของมันประเมินเลย อยากถ่ายให้เห็นชัดๆ ต้องปรับ ISO วิ่งไปเลย 51200 ครับ ภาพออกมานี่นึกว่าเปิดไฟถ่ายปกติเลยทีเดียว ภาพที่ได้อาจจะเบลอนิดๆ เพราะผมไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง และเวลามันมืดมากๆ ไม่รู้จะแตกไปโฟกัสตรงไหนดีด้วยน่ะ
เอาใหม่อีกรอบ … คราวนี้ลองถ่ายแบบเงื่อนไขเกือบจะใกล้เคียงกันที่สุดแบบสุดๆ ดูครับ เริ่มจากใช้แอป ProCam บน iPhone 8 Plus ถ่ายภาพในห้องครัวตอนสี่ทุ่ม ปิดไฟในบ้านหมด เหลือแค่ไฟจากทีวีที่เปิดไว้ ซึ่งไม่ได้หันมาทางห้องครัวโดยตรง และอยู่ห่างออกไปราวๆ 4-5 เมตร ปรับให้ชัตเตอร์อยู่ที่ 1/4 วินาที อัด ISO ไป 1280 ซึ่งคือที่สุดแล้วของแอป ส่วนรูรับแสงของเลนส์คือ f/2.8 และนี่คือภาพที่ได้
ทีนี้หยิบ Huawei P30 มาถ่ายบ้าง ปรับไปที่โหมด Pro แล้วตั้ง ISO ไปสุดที่ 200800 แล้วความเร็วชัตเตอร์ 1/4s เท่ากัน ครับ ส่วนรูรับแสงของเลนส์ของเจ้านี่คือ f/1.8 ภาพที่ได้ออกมาแบบนี้ครับ จะเห็นว่าทั้งรูรับแสงที่กว้างกว่า และ ISO ที่ดันไปจนเต็มเหนี่ยว ส่งผลให้แม้จะมีแสงช่วยแค่จากทีวี ก็สามารถถ่ายภาพได้เห็นแบบลางๆ เลย
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า ในภาพรวมแล้ว การถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย Huawei P30 นี่ทำได้ดีกว่า แต่ยังไม่ได้หมายความว่ามันจะเอาไปใช้งานได้จริงจังนะครับ จริงๆ แล้ว ภาพที่จะถ่ายออกมาแล้วสว่างพอที่จะโชว์ใครเขาได้ ก็ต้องเพิ่มในส่วนของการปรับความเร็วชัตเตอร์ด้วยครับ ISO อย่างเดียวเอาไม่อยู่ และบอกตรงๆ ว่าถ้าให้ซอฟต์แวร์มันเลือกจริงๆ ไม่จำเป็นมันไม่ไปเร่ง ISO ด้วย มันเลือกที่จะปรับความเร็วชัตเตอร์ดีกว่า เพราะเจ้านี่ปรับลากยาวได้แบบ 30 วินาทีสบายๆ
ภาพแรก ด้านบน ใช้โหมด Portrait ถ่ายครับ มันออโต้ปรับทุกอย่างให้เลยที่เหลือ โดนเร่ง ISO ไปที่ 5000 แต่ความเร็วชัตเตอร์อยู่ที่ 1/17s แป๊บเดียวได้รูป ภาพที่ได้วิวด้านหลังเบลอตามสมควร แต่ที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างก็คือ Noise ครับ มาเต็มรูป จัดเต็มมากครับ
ทีนี้ปรับมาที่ Night mode ISO โดนกดลงมาเหลือ 1600 แต่ลากชัตเตอร์ไป 6 วินาทีแทน สังเกตได้ว่า Noise ลดลงไปเยอะมากเลยครับ แบ็กกราวด์มีเบลอนิดหน่อยตามระยะเลนส์ แต่ไม่เท่ากับรูป Portrait แต่ภาพนี้ออกมาดูดีกว่าจริงๆ ซึ่ง Huawei ทำออกมาได้ค่อนข้างดีนะครับ ต้องขอชมเชย เพราะที่เห็นนี่ ผมไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องนะครับ
แต่จริงๆ ถ้าไม่ต้องถ่ายภาพคนด้วยนะ ลองดูที่มุมเดิมครับ แต่ไม่ถ่ายคน แล้วก็เลือกเป็นโหมดออโต้ ISO1600 ความเร็วชัตเตอร์ 1/17s มันไม่ต้องเร่งความสว่างที่ตัวบุคคลมากด้วยละมั้ง ภาพเลยแอบมืดลงนิดนึง แต่สิ่งที่ได้มาคือ Noise น้อยลงไปเยอะ และก็ยังถ่ายวิวได้สว่างดีอยู่
กล้องเซลฟี่ของ Huawei P30 ถ่ายออกมาได้ดี แต่ยังสายฟรุ้งฟริ้งก็คงยังเลือก OPPO
กล้องดิจิทัลด้านหน้า สเปกก็ไม่ใช่ง่อยๆ นะครับ 32 ล้านพิกเซล f/2.0 ถ่ายภาพออกมาคมชัดเลยเชียวล่ะ แต่มันมีข้อจำกัดที่ชัดเจนอยู่เรื่องนึง มาจากการที่พยายามให้รูรับแสงกว้างละมั้ง เพราะผมสังเกตว่าถ้าเกิดไม่ได้ถ่ายเซลฟี่คนเดียว แต่มีคนอื่นอยู่ในเฟรมด้วย จะเป็นเพื่อนหรือแฟนก็ตามแต่ ถ้าอยู่ไกลจากตัวคนถ่ายออกไป มีแนวโน้มสูงที่ภาพของพวกเขาจะไม่ชัด แต่จะเบลอมากหรือน้อย ก็อยู่ที่ว่าจะอยู่ห่างจากคนถ่ายไปมากน้อยแค่ไหน
ในโหมด Selfie เนี่ยก็มีโหมดบิวตี้ให้ใช้นะครับ แต่ว่าของ Huawei เนี่ย แม้จะปรับแต่งได้ทั้งผิวเนียน หน้าผอม สีผิวตามใจชอบ แต่ก็ยังคงเน้นความเนียนในการปรับแต่ง ภาพเลยยังคงเป็นตัวตนจริงๆ ของผู้ถ่ายอยู่ ใครที่ชอบความ Real คิดว่าน่าจะโอเคกับแนวทางนี้ หรือเลือกจะไม่ใช้ไปเลย (ฮา) แต่หากเป็นกลุ่มสาวๆ ผู้นิยมความฟรุ้งฟริ้งในการถ่ายเซลฟี่แล้วละก็ น่าจะไปชอบแนวทางของ OPPO มากกว่าครับ
เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาเอาไปถ่ายรูปที่ไหน เห็นอะไรถ่ายได้ก็ถ่ายไปเรื่อย เอามาให้ดู เผื่อช่วยในการพิจารณาคุณภาพของภาพถ่ายนะครับ
บทสรุปการพรีวิว Huawei P30
แม้จะไม่ได้เล่นแบบเต็มที่จริงจัง แต่ก็ได้ลองถ่ายรูปโน่นนี่นั่น และลองหลายๆ อย่างที่รู้สึกสงสัยตอนที่อ่านข่าวเปิดตัวเจ้าสมาร์ทโฟนตัวนี้ และหลังจากที่ได้ลอง แน่นอนว่าแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ (เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ) แต่ Huawei P30 ก็คุ้มราคาค่าตัว 21,900 บาทมากทีเดียว และบอกตรงๆ ว่ามาแบบนี้ Samsung เหนื่อยครับ เพิ่งเอา Samsung Galaxy S10 มาปล่อย และได้รับการตอบรับค่อนข้างดี แต่มาเจอ Huawei P30 สเปกนี้ กล้องแจ่มแบบนี้ ราคาแบบนี้ ฝ่ายการตลาด Samsung มีหืดจับครับ