ตลาดสมาร์ทโฟนมันเริ่มถึงจุดอิ่มตัวแล้วครับ เรือธงรุ่นใหม่ๆ มันไม่ “ว้าว” จนน่าซื้อเหมือนเมื่อก่อน ไม่ว่าค่ายไหนๆ จะทำออกมา แถมหลังๆ นี่ รุ่นเรือธงมีสนนราคาค่าตัวแพงมหาโหดมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เริ่มต้นแถวๆ หมื่นกลางๆ ไปจนถึงหมื่นปลายๆ ตอนนี้กลายเป็นเริ่มที่สองหมื่นปลายๆ เป็นต้นไปแล้ว ผลที่ตามมาก็คือ ไม่ว่าค่ายต่างๆ จะพยายามอัดฉีดงบการตลาดเข้าไปขนาดไหน ก็ดูเหมือนจะไม่บังเกิดผล ยอดขายสมาร์ทโฟนในปี 2018 ตกลง 4.1% คือ ขายออกไปประมาณ 1.4 พันล้านเครื่อง (อ้างอิงข้อมูลจาก IDC) ส่งผลให้ปีที่ผ่านมา เป็นปีแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 2012 ที่ยอดขายสมาร์ทโฟนลดลงครับ จากปกติที่เฉลี่ยตั้งกะปี 2012-2017 เติบโตโดยเฉลี่ย 16% (อ้างอิงข้อมูลจาก Counterpoint Research)

ยอดขายสมาร์ทโฟนในภาพรวมลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกค่ายจะได้รับผลกระทบหมดหรอกนะครับ ลักษณะของยอดขายที่ลดลงมันกระทบผู้ผลิตแบบนี้ครับ มีแบรนด์บางแบรนด์ที่ยอดขายลดฮวบๆ เช่น Samsung และ Apple ในขณะที่ค่ายจากจีน เช่น Huawei, OPPO, Xiaomi ยอดขายเพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะ Huawei เพิ่มสูงมาก) ซึ่งในประเทศไทยก็ตามเทรนด์โลกไม่แพ้กัน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลของ Canalys เกี่ยวกับยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนในไตรมาส 4 ซึ่งภาพรวมของทั้งปีนั้นยอดขายสมาร์ทโฟนในไทย ปี 2018 ลดลง 8.6% หรือขายไปเพียง 19.2 ล้านเครื่อง

อะไรที่เป็นปัจจัยทำให้สมาร์ทโฟนมียอดขายลดลง?
ถ้าถามแบบนี้ ขอบอกเลยหลักๆ น่าจะมาจากเหตุผลเดียว ซึ่งเกิดจากหลายๆ ปัจจัยรวมๆ กันมากกว่าครับ นั่นก็คือ ใครๆ เขาก็มีสมาร์ทโฟนกันหมดแล้ว คนอัพเกรดสมาร์ทโฟนเรือธงเป็นเครื่องใหม่ก็น้อยลง ทนใช้เครื่องเดิมไปพักใหญ่ๆ ก่อน เพราะรุ่นใหม่ที่ออกมามันก็ไม่ได้มีอะไร “ว้าว” น่าสนใจ และในขณะเดียวกัน ราคาของสมาร์ทโฟนเรือธงก็แพงขึ้น จนคนหาเหตุผลมาให้กับตัวเองไม่ได้ว่าจะซื้อเครื่องใหม่ทำไม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาเครื่องมือสองมันก็ตกลงเร็วจนน่าตกใจ… เหตุผลยาวดีแมะ? แต่ถ้าดูจากคีย์เวิร์ดหลักๆ จะเห็นว่า ยอดขายที่ลดลง น่าจะเป็นพวกเรือธงซะมากกว่า เพราะของใหม่ไม่ได้มีอะไรว้าวน่าสนใจมากแล้ว นอกจากเร็วขึ้น กล้องดีขึ้นอีกนิดหน่อย (ซึ่งของเดิมก็ถ่ายได้ถูกใจพอแล้ว) และที่สำคัญคือ แพงไม่ว่า ราคามือสองยังน่าอนาถอีกตะหากนี่สิ และก็หาคนซื้อใหม่ๆ อยากขึ้น เพราะคนเขามีสมาร์ทโฟนกันเยอะแล้ว

ค่ายที่เราไม่ได้เห็นความ “ว้าว” มาพักใหญ่ๆ แล้ว อย่าง Samsung หรือ Apple ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายมันจะลดลงฮวบๆ ครับ โดยเฉพาะเมื่อค่ายคู่แข่งจากจีนเขางัดทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ดีไซน์ใหม่ๆ เข้ามาสู้ หรือหากศีลเสมอกัน ก็ข่มกันด้วยราคาที่ต่ำกว่าชัดเจน เอ้า! ดูกันง่ายๆ อย่าง Samsung Galaxy S10/S10+ สิ่งที่ดูเหมือนจะใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่างเดียวก็น่าจะเป็นหน้าจอแบบ Infinity Display ที่ใช้การเจาะหน้าจอให้เป็นรูแล้วฝังกล้องลงไปตรงนั้น กับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ซึ่งอย่างแรกนั้น Huawei Nova 4i ชิงเปิดตัวตัดหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนอย่างหลัง Vivo X21 ก็ปล่อยของไปแล้วอีกเช่นกัน ความ “ว้าว” เลยหายไป
ผมไม่ได้ว่า Samsung Galaxy S10/S10+ ไม่ดีนะครับ เพื่อนๆ บล็อกเกอร์ที่ไปลองมาแล้ว เขาก็ชมถึงพัฒนาการของ Samsung อยู่บนโซเชียลมีเดียตลอด และมันก็พัฒนาขึ้นมาดีขึ้นจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ผมไปลองสัมผัสมาแล้วเช่นกัน บอกตรงๆ ว่า ประสบการแรกสัมผัสของผม มันเฉยๆ มากๆ มันก็คือ สมาร์ทโฟนใหม่ เร็วขึ้น จอสวยขึ้น กล้องดีขึ้น และสิ่งที่ดีขึ้นเพิ่มขึ้นมานั้น ก็ยังไม่ใช่อะไรที่มากพอให้รู้สึกว่า อยากซื้อมาใช้ … ยิ่งกำลังรอ OPPO เขาเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่มีกล้อง 3 ตัว ครบทุกช่วงจริงจัง ทั้งมุมปกติ, มุมกว้างพิเศษ (Ultrawide) และซูม Optical 10x ด้วย ผมสนใจตัวนั้นมากกว่ามาก นี่พูดตรงๆ ไม่ได้อวย
ยัดเทคโนโลยีล้ำอนาคต กระตุ้นความอยากซื้อ แต่อยากล้ำก็ต้องเปย์
ลองนึกถึงสมัยก่อนที่ สตีฟ จ็อบส์ เขาเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ครับ เขามีทักษะในการพูดให้คนรู้สึกว่า เช็ดเข้! โคตรล้ำ นี่แหละ ที่จะมาเปลี่ยนโลก อะไรประมาณนี้ ลองนึกถึงตอนที่เขาเปิดตัว Retina display ได้ครับ ตอนนั้นผมจำได้ว่า ราคาเครื่องหิ้ว iPhone 4 ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่ใช้ Retina display นี่พุ่งทะยานไปถึงแถวๆ แปดหมื่นบาทกันเลยทีเดียว (ส่วนหนึ่งก็ต้องเข้าใจว่าตอนนั้นกว่า iPhone จะเข้ามาขายในไทยได้ก็ต้องรอไปพักนึง คนก็เลยแย่งกันได้ใช้ก่อนพอสมควร)
ค่ายต่างๆ ตอนนี้ ก็อยากกระตุ้นอารมณ์อยากซื้อของคน ด้วยการออกของ “ว้าวๆ” ออกมาอีกครับ เพียงแต่งวดนี้ดูเหมือนกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาจะเปลี่ยนไป คือไปเจาะกลุ่มคนที่ชอบตามเทคโนโลยี มีกำลังซื้อ พร้อมเปย์อย่างเต็มที่ แพงไม่ว่า ขอแค่ล้ำ อะไรประมาณนี้ ก็เลยไม่แปลกที่เราจะเห็นทุกค่าย สร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งผมขอเรียกมันว่า เรือล้ำ(อนาคต) ที่เหนือกว่าเรือธง ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีที่อัดแน่น และราคา (ฮา) อย่างเช่น Huawei Mate X ที่ว่ากันว่าราคาขายเริ่มที่ 80,000 บาท หรือ Samsung Galaxy Fold ที่ราคาเริ่มต้นที่ 61,000 บาท และอื่นๆ ที่กำลังจะตามมาในปีนี้อีก

แต่ถามว่ามันจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหายอดขายสมาร์ทโฟนตกได้ไหม? ผมว่าคงยากครับ เพราะราคาของเจ้าพวกเรือล้ำนี่มันก็สูงซะจนต้องออกแรงเอื้อมกันพอดูเลยแหละ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ความพยายามของขาใหญ่เจ้าเก่าอย่าง Samsung พยายามสื่อสารออกมาว่า ฉันยังคงเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอยู่นะ (หลังจากขาดความว้าวมานาน) ในขณะที่คู่แข่ง (เช่น Huawei และค่ายอื่นๆ ที่น่าจะตามมาเรื่อยๆ ภายหลัง) ก็ตามจี้ก้นมาติดๆ เลยเหอะ และในเรื่องนี้ ผมอยากบอกว่าสิ่งที่ สตีฟ จ็อบส์ เคยพูดเอาไว้ เป็นความจริงนะครับ ไอ้ที่ว่า
เราไม่ใช่คนแรกที่ทำ แต่เราคือคนที่ทำได้ดีที่สุด
สตีฟ จ็อบส์
ผมก็คิดว่า คู่แข่งจำนวนไม่น้อยมองว่า สมาร์ทโฟนจอพับได้ไม่ต้องรีบทำออกมาหรอก ยอดขายมันไม่ได้เยอะปานนั้น ไปแย่งขายกัน เจ็บตัวเปล่าๆ อย่างเช่น LG ที่ก็ออกมาให้ข่าวเลยว่า จอพับได้น่ะตูก็ทำได้นะเฟ้ย แต่ตูว่าไม่ทำดีกว่า ตอนนี้ยังเร็วไป ยังนึกไม่ออกว่ากระแสของจอพับได้จะเป็นยังไง
อุปสงค์ของตลาดสมาร์ทโฟนอยู่ที่ราวๆ 1,000,000 เครื่อง แต่ปัญหาหลักของ LG ในธุรกิจสมาร์ทโฟนตอนนี้คือการหวนกลับสู่ตำแหน่งทางการตลาดเดิมของตัวเอง เมื่อพิจารณาสถานการณ์แล้ว มันยังเร็วเกินไปสำหรับ LG ที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนจอพับได้ ในแง่ของเทคโนโลยี เราพร้อมแล้วหากฝั่งผู้บริโภคมีความต้องการ
Kwon Bong-seok, Head of Mobile Communication, LG
ทาง Apple เอง เห็นเงียบๆ แบบนี้ แต่จริงๆ ก็ซุ่มพัฒนาสมาร์ทโฟนจอพับได้อยู่นะ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ มีการพบสิทธิบัตรที่ประกอบไปด้วยภาพอธิบายการทำงานของจอพับได้จำนวน 24 รูป เพียงแต่ว่า Apple เองก็น่าจะคิดเหมือนกับ LG อะครับ คือยังนึกไม่ออกว่าจะวางตำแหน่งเจ้านี่ยังไง เพราะขนาด iPhone ที่เป็นเรือธงของตัวเอง รุ่นท็อปก็แพงกว่าคู่แข่งเกือบ 2 เท่าแล้ว (ถ้าไม่นับ Samsung Galaxy S10+ ตัวท็อปในปัจจุบัน) ถ้าลองคิดว่าคู่แข่งทำสมาร์ทโฟนจอพับได้ราคาครึ่งแสนกว่า หรือเกือบแสน ถ้า Apple ทำบ้างมันจะไม่เกินแสนไปเลยเรอะ แล้วใครจะซื้อ (ฮา) แล้วถ้าทำออกมาแล้ว ตลาดของ iPhone กับ iPad จะเป็นยังไงต่อ และจริงๆ แล้วกระแสตอบรับของสมาร์ทโฟนจอพับได้จะเป็นยังไง การใช้งานจะทำอีท่าไหน ผมว่า Apple ก็คงยังรอดูอยู่ห่างๆ อย่างใจจดใจจ่อนั่นแหละครับ