พูดถึงจังหวัดสตูลแล้ว หลายคนอาจจะนึกถึงเกาะหลีเป๊ะ หรือไม่ก็เลยไปเกาะลังกาวี อะไรทำนองนี้ แต่อยากจะบอกว่ามีอีกสถานที่นึงที่อยากแนะนำให้ไป โดยเฉพาะคนที่ชอบชมวิวธรรมชาติสวยๆ นั่นก็คือ ถ้ำภูผาเพชร ครับผม ถ้ำนี้คือถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกเลยทีเดียว
การเดินทางมาที่นี่ไม่ได้ยุ่งยากครับ Google Maps พามาได้สบายๆ เลยแหละ เพียงแต่ใน Google Maps มันจะเหมือนกับว่าถ้ำนี้อยู่ในส่วนของขอบจังหวัดพัทลุงที่ติดกับจังหวัดสตูลแทนซะงั้น แต่จริงๆ แล้ว ที่นี่อยู่ทางฝั่งพัทลุงนะครับ เพียงแต่ขนาดของถ้ำมันใหญ่มาก เขาว่ามีขนาด 50 ไร่ และ ณ ตอนที่เขียนบล็อกนี้อยู่ เขาเพิ่งเปิดให้เข้าชมได้แค่ 1 ใน 4 ของพื้นที่เท่านั้นเอง
ถ้ำภูผาเพชรมีประวัติเยอะนะครับ จากหลักฐานทางธรณีวิทยานี่เขาบอกว่าที่นี่เคยอยู่ใต้ท้องทะเลมาก่อนครับ ตั้งกะ 250 ล้านปีก่อน และเมื่อหลายพันปีก่อน ที่นี่ก็เป็นที่พักพิงของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ด้วย และเพิ่งจะถูกค้นพบโดยพระธุดงค์ชื่อ หลวงตาแผลง เมื่อ พ.ศ. 2538 ครับ

ที่นี่มีที่จอดรถเยอะแยะครับ มีค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท และรถยนต์คันละ 30 บาท จากนั้นเดินไปจนถึงแถวๆ ทางขึ้น ถ้ามาวันเสาร์อาทิตย์ คนจะเยอะหน่อย ก็จะมีของขายเยอะอยู่ แต่ถ้ามาวันธรรมดา ก็จะมีของขายน้อยมาก เหลือแค่ร้านขายน้ำ น้ำแข็งไส และมาม่า (ร้านเดียวกันนี่แหละ) ก่อนจะขึ้นไป จ่ายเงินค่าไกด์ก่อน คนละ 20 บาทครับ ไม่แพง ช่วยอุดหนุนชาวบ้านด้วย และอีกอย่าง เข้าไปเยี่ยมชมในถ้ำแบบนี้ มีไกด์ไปด้วย ดีกว่าเยอะ และผมขอแนะนำให้พกไฟฉายกำลังสูงๆ ไปด้วยนะครับ แต่ถ้าไม่มี ไปเช่าเอาได้ อันละ 20 บาท เป็นแบบสวมหัว หรือจะถือเอาไว้ในมือก็ไม่ว่ากัน


เส้นทางเดินขึ้น จะเป็นบันไดราวๆ 300 กว่าขั้นครับ มีความชันประมาณนึง เป็นบันไดหิน ถ้าฝนเพิ่งตก หรือกำลังตกอยู่ ระวังหน่อย มันลื่น อันตราย ทางเดินขึ้นไปมีจุดแวะพัก 2 จุด คือ ตรงแถวๆ กลางๆ ทาง และตอนถึงปากถ้ำ ไม่ต้องหวังจะชมวิวนะครับ ต้นไม้ภาคใต้นี่ เหมือนจะได้น้ำเยอะ แดดดี เติบโตสูงมากๆ บังวิวมิดเลยจ้า

การทัวร์ถ้ำ จะเป็นส่วนตัวมากน้อยขนาดไหน ก็อยู่ที่จังหวะครับ ที่นี่เขาเปิดให้คนขึ้นไปได้ถึงราวๆ 16:00 น. (ป้ายจะบอกว่า 15:30) เพราะมันใช้เวลาเดินทั้งหมดแบบเต็มๆ ราว 1.5 – 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ใครมารอบสุดท้าย 16:00 นี่ กว่าจะลงไปคือหกโมงเย็นอ่ะพี่น้อง ไกด์เขาจะพยายามรวบรวมคนให้ได้จำนวนนึงแล้วพาเข้าไปทีเดียว ฉะนั้นหากช่วงเวลาใกล้ๆ กันนั้นมีคนเดินขึ้นมาหลายกลุ่ม เขาก็จะจับรวมไปตะลุยถ้ำพร้อมกันทีเดียวเลย

ในครั้งนี้ทริปตะลุยถ้ำก็มี ผม แฟนผม ทีม สว. จำนวน 4 ท่าน และชาวฮ่องกงอีกคนนึง ผมและแฟนรับหน้าที่ล่ามจำเป็นแปลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติฟัง และเป็นช่างภาพนิดๆ หน่อยๆ ด้วย
ทางเข้าถ้ำคือเล็กมากมายครับ จริงๆ มันมีสองจุด จุดนึงทางเข้าใหญ่หน่อย เป็นจุดที่ไกด์บอกว่าหลวงตาแผลงเข้าถ้ำไปทางนั้น แต่ต้องคลานไปราวๆ 10 เมตร เพื่อเข้าถ้ำ แต่จุดที่เป็นทางเข้าปัจจุบัน คือเขามีการเจาะเพิ่มเติม (ขวานที่ใช้เจาะยังถูกวางโชว์ไว้หน้าถ้ำ) มีขนาดแบบที่ต้องย่อตัวมุดเข้าไปราวๆ 2 เมตร แต่ถ้ำข้างในจะใหญ่มากมาย


หลักๆ เลย ที่นี่เป็นถ้ำหินปูนครับ เราจะได้เห็นหินงอกหินย้อย ที่ก่อตัวเป็นความงามตามธรรมชาติที่น่าชมมาก ไกด์เขาจะคอยเตือนเราตลอดเวลาว่าจุดที่เป็นหินงอกหินย้อยที่ยังมีชีวิต (หมายถึง ยังมีน้ำหยดอยู่ และสามารถก่อตัวเป็นหินงอกหินย้อยได้) นี่อย่าให้เราไปแตะมัน เพราะเดี๋ยวมันจะหยุดการงอกครับ ไกด์ที่นำทางเรา ได้รับการอบรมมาอย่างดีมาก สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างดีมากมาย ขอนับถือจริงๆ
หินงอกหินย้อยภายในถ้ำ มีจำนวนมากที่มีพวกแร่ไหลมารวมด้วย ทำให้เวลาถูกแสงไฟแล้วมันเป็นประกายระยิบระยับ มันเลยเป็นที่มาของชื่อ ถ้ำภูผาเพชร นี่แหละ


ที่นี่สมชื่อกับที่เป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกมากครับ คือภายในถ้ำที่อลังการมาก ไกด์เขาก็จะแนะนำตลอดว่าตอนไหนให้ปิดไฟฉาย ถ่ายมุมไหนจะสวย อะไรแบบนี้ เส้นทางเดิน ตั้งกะ พ.ศ.2548 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เสด็จประพาสที่ถ้ำภูผาเพชร เขาก็เลยมีการทำสะพานไม้แบบดีๆ ให้แล้ว ก็ทำให้เดินเยี่ยมชมถ้ำสะดวกขึ้นมากๆ

เดินมาพักใหญ่ๆ ก็จะมาถึงตรงจุดที่เรียกว่าห้องโถงครับ จะเห็นหินก้อนใหญ่ๆ ที่ชื่อว่า โดมศิลาเพชร ซึ่งตรงนี้จะมีหินงอกหินย้อยหลายแบบที่ให้เราจินตนาการไปต่างต่างนานาได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป ฤๅษี พระเยซู เจ้าแม่กวนอิม ฯลฯ ใครจะมองเห็นอะไรเป็นยังไงก็ว่ากันไป

ไกด์จะบอกว่าคือครึ่งทางแล้ว ถ่ายรูปหมู่กันได้นะครับ (เขาจะช่วยถ่ายรูปให้) เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะจบทริปกันแค่นี้ไหม หรือจะไปต่อ ซึ่งผมอยากบอกว่า ไปต่อเหอะ เพราะไฮไลต์มันอยู่ตรงปลายทางครับ

ไฮไลต์ของทริปนี้จริงๆ คือที่ห้องนี้ครับ ลานแสงมรกต ซึ่งเป็นจุดที่จะมีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามากระทบกับหินที่มีพวกตะไคร่หรือสาหร่ายสีเขียวๆ ออกมาเป็นสีเขียวมรกตระเรื่อเลยครับ แต่เดี๋ยวนี้มันน้อยลงไปเยอะแล้ว เพราะเท่าที่เห็น มันมีพวกฝุ่นดินทรายไหลเข้ามา และคนที่เดินมาชม ก็ไปเหยียบพวกสาหร่าย จนมันหายไปเยอะเหมือนกัน


ปิดท้าย เดินลง ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ผมขอฝากให้ทุกท่านอย่าลืมทิปไกด์กันหน่อยนะครับ ค่าไกด์ 20 บาท ผมว่าถูกโฮกเลย และไกด์คืออัธยาศัยดีมาก ความรู้ดีมาก บริการเราขนาดนี้แล้ว ทิปเขาเถอะครับ ซักคนละร้อยก็ยังดี เวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศ เราทิปไกด์แพงกว่านี้เยอะ