ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว กับวิกฤตปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร ที่คนทั้งกรุงเทพฯ ได้เห็นกันชัดๆ เลย เพราะมันหนักหนาสาหัสมากขนาดที่ในบางพื้นที่ ในบางวัน เราถึงกับมองไกลๆ เห็นแค่ลางๆ กันเลยทีเดียว มองในแง่ดีก็คือ เราได้เห็นผู้คนมาตระหนักถึงปัญหานี้ และหาทางป้องกันตัวเองด้วยการใส่หน้ากาก N95 กันจนเรียกว่าของขาดตลาดเลยทีเดียว แต่ที่ตามมาติดๆ คือ การแห่ซื้อเครื่องฟอกอากาศกันจนของขาดตลาดไปด้วยเช่นกัน และเมื่อดูๆ ไปแล้ว บางครั้งผมก็ต้องมาคิดว่า นี่เรากลัวกันมากจนนอยด์เกินไปหรือเปล่า?
แน่นอนว่าปัญหามลพิษในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใหญ่ๆ มันเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไข และเราๆ ท่านๆ ที่ต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ต้องตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันตัวเอง ผมเองขับขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าบนท้องถนน ก็ต้องหาหน้ากากมาใส่ด้วยเช่นกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ PM2.5 หรอกนะ แต่พวกมลพิษจากฝุ่นควันบนท้องถนนนี่แหละตัวดี สุดท้ายก็ต้องหาหน้ากากที่ใส่แล้วรู้สึกสบายไม่อึดอัดที่สุด ก็ได้ Xiaomi Purely ติดพัดลมตัวนี้แหละ

แต่ที่ผมสังเกตเห็นอีกอย่างคือ พอกระแสมันแรง คนก็แห่กันไปซื้อเครื่องฟอกอากาศกันเยอะมาก และหลายๆ ครั้งผมก็แอบรู้สึกว่ามันเกินความจำเป็นไปไหม? คือ ได้เคยวัดคุณภาพอากาศในบ้านตัวเองก่อนซื้อกันไหม หรือพิจารณาความจำเป็นของตัวเราก่อนซื้อกันไหม?
บ้านที่มีลูกเล็ก ผมเข้าใจได้นะว่าต้องป้องกันเอาไว้ก่อน เพราะฝุ่นพิษมันส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างมากครับ ดูคลิปวิดีโอขององค์การยูนิเซฟ (ซับไทย) ด้านล่างได้
แต่สำหรับคนทั่วไปนี่สิ … ลองประเมินสถานการณ์ของบ้านตัวเองก่อนหรือยัง? อย่างกรณีของผม ผมสอย Xiaomi Mi Air Purifier 2s มาด้วยสองเหตุผล อันแรกคือผมรู้สึกว่าตัวเองมีอาการจามรัวๆ ตอนอยู่ในห้องนอน ก็คิดว่าฝุ่นมันเยอะไป อาจแพ้ฝุ่น และในขณะเดียวกัน ผมก็อยากรีวิวในฐานะบล็อกเกอร์ด้วย (และตอนนั้นกรุงเทพเรายังไม่นอยด์ PM2.5 กันขนาดนี้)

ในกรณีที่ภายในบ้านของคุณเป็นพื้นที่ปิด ติดแอร์ อาจมีการเปิดให้อากาศถ่ายเทบ้างประมาณนึง ค่าฝุ่น PM2.5 อาจจะพุ่งไปแถวๆ เกือบ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถ้าห้องติดแอร์ หลังจากปิดประตูหน้าต่างแล้ว แอร์จะทำหน้าที่ช่วยกรองฝุ่นไปได้ระดับนึง ค่าก็อาจจะตกลงมาอยู่แถวๆ 24-25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกรองภายในตัวแอร์เอง การมีเครื่องฟอกอากาศคือเอาไว้เสริมการทำงานมากกว่า ถ้าเครื่องฟอกอากาศไม่ได้แพงมากนัก ก็จัดไว้เผื่อๆ ได้
แต่ถ้าบ้านมีลูกเล็ก เครื่องฟอกอากาศที่คุณควรจะมี มันไม่ใช่แค่เรื่อง PM2.5 แต่ควรจะเป็นเรื่องของพวก กำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส มากกว่าครับ
พวกเครื่องฟอกอากาศที่บอกว่ากำจัดไวรัสได้นั้น…
เห็นหลายคนมองว่า การที่เครื่องฟอกอากาศสามารถกำจัดไวรัสได้ มันเจ๋งกว่าเครื่องฟอกอากาศทั่วๆ ไป อันนี้ผมอยากบอกว่าเข้าใจผิดนะครับ ขนาดของไวรัสจะอยู่ที่ประมาณ 20-400 ไมครอน ซึ่งเรียกว่ามีขนาดใหญ่กว่าฝุ่น PM2.5 ซะอีก ดังนั้นหากไส้กรองมันสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ไปได้แล้ว มันก็ย่อมกรองไวรัสออกจากอากาศไปได้ครับ
ลองคิดดูง่ายๆ สิ หน้ากากอนามัยที่มันกันฝุ่น PM2.5 ไม่ได้มากเท่าไหร่อ่ะ มันคืออะไรที่เราสวมใส่ตอนเป็นหวัด เพื่อให้เราไม่แพร่กระจายเชื้อไวรัสออกมา ไม่ใช่แค่เฉพาะตอนเราไอหรือจามนะ แต่รวมถึงตอนที่เราหายใจเข้าออกด้วย
เห็นคนแห่ซื้อเครื่องฟอกอากาศในรถกันด้วย ขนาดยี่ห้อชาร์ปที่มีลักษณะเหมือนแก้วน้ำก็ขายดีจนเกลี้ยง ทั้งๆ ที่ไอ้เจ้านี่ไม่ได้ช่วยเรื่องฝุ่น PM2.5 เลยแท้ๆ เนื่องจากมันใช้ระบบพลาสมาไอออน มันเน้นไปที่การกำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส มากกว่า ใครที่ซื้อเพราะกลัวฝุ่น PM2.5 นี่คือ … เก้อ นะครับ

ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณทำความสะอาดรถมาดีอยู่แล้ว และมีการทำความสะอาดและเปลี่ยนกรองแอร์อยู่ตามระยะเวลาที่สมควรแล้ว ค่าฝุ่นภายในรถ ซึ่งรวมถึง PM2.5 ด้วยนั่นแหละ จะต่ำมากครับ ผมลองบนรถ Mitsubishi Mirage อายุงาน 5 ปี มีค่า PM2.5 แค่ 11.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเอง ยกเว้นแต่ว่าคุณจะเปิดกระจกรถระหว่างขับรถนั่นแหละ อาจจะรับ PM2.5 จากภายนอกเข้ามาเพิ่ม
ไอ้ที่ควรกังวลจริงๆ อ่ะ คือค่า TVOC (Total Volatile Organic Compound) กับ CO2a (คาร์บอนไดออกไซด์) ตะหากล่ะ ไหนจะพวกที่ระเหยจากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถของเรา ที่จอดตากแดดเอาไว้ ไหนจะคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหายใจของเรา แล้วมันก็วนเวียนอยู่ในรถ เพราะอากาศมันไม่ได้ถ่ายเทมากนัก (ลองนึกนะครับ เราอยู่ในรถยนต์ ถ้าไม่เปิดแอร์ก็มักจะรู้สึกอึดอัดใช่ไหมล่ะ นั่นเพราะเราไม่ได้มีอากาศใหม่ๆ ไหลเข้ามาผ่านแอร์ไง)
TVOC คือ?
TVOC หรือ Total Volatile Organic Compound ชื่อไทยๆ ของมันคือ สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หมายถึงสารประกอบของคาร์บอนหรือสารเคมีใดๆ (ยกเว้น คาร์บอนมอนออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนนิกแอซิด เมทัลลิคคาร์ไบด์หรือคาร์บอนเนต และ แอมโมเนียม คาร์บอนเนต) มักจะแฝงตัวอยู่กับวัสดุตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่มีกระบวนการผลิต
สารพวกนี้จะมีจุดเดือดต่ำ และระเหยเป็นไอได้ง่ายสมชื่อของมันนั่นแหละ แถมมันยังคงตัวอยู่ในอากาศได้นาน อยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราได้นาน สะสมมากๆ ก็เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเรา
ฉะนั้น ที่เครื่องฟอกอากาศที่คุณควรซื้อมาติดรถ ไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่กำจัดฝุ่น PM2.5 หรอกครับ ควรจะเน้นไปที่การฟอกอากาศลด TVOC ซะมากกว่าครับ
อยากแนะนำให้อ่านบล็อกของ Thanop.com เรื่องเครื่องฟอกอากาศ ทำความเข้าใจฟีเจอร์ต่างๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ประโยชน์คืออะไร ให้ดีๆ แล้วเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศมาใช้เมื่อจำเป็น และเกิดประโยชน์กับตัวคุณเองครับ
ฝุ่น PM2.5 ต้องให้ป้องกันครับ ไม่ใช่ให้กลัวกันจนนอยด์ แล้วกลายเป็นเปิดช่องให้พวกพ่อค้าหัวใสโขกสับขยับราคาเครื่องฟอกอากาศกันเป็นบ้าเป็นหลัง