หลังจากที่ผมได้พรีวิวไปพักใหญ่ๆ และลองใช้มาในฐานะ Android smartphone เครื่องหลักของผมได้ราวๆ เกือบสามสัปดาห์ ก็ได้ฤกษ์เขียนรีวิวกันจริงๆ ซะทีครับ กับ Xiaomi Mi Mix 3 ตัวนี้ ซึ่งเป็นเรือธงตัวล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายในไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และมาพร้อมกับดีไซน์แบบใหม่ คือ ซ่อนกล้อง ด้วยการเลื่อนหน้าจอปิดเปิดได้
อย่าลืมกลับไปอ่านบล็อกพรีวิว
ในบล็อกตอนนี้ ผมถือว่าเป็นการเขียนต่อจากบล็อกที่ผมเคยพรีวิวเอาไว้แล้ว ฉะนั้นอ่านลืมไปอ่านนะครับ
ดีไซน์ของ Xiaomi Mi Mix 3 กับการใช้งานจริง
Xiaomi Mi Mix 3 ค่อนข้างใหม่มาก และการหาฟิล์มกันรอยหรือกระจกกันรอยมาติดนี่ก็แอบยากอยู่ แต่เรายังสามารถหาซื้อจากออนไลน์ได้ครับ ราคาก็แล้วแต่ร้าน เคสก็สามารถหาซื้อได้เช่นกัน ถ้าคุณคิดว่า เคสที่แถมมาให้ด้วยมันไม่สามารถโชว์ความสวยของสีตัวเครื่องได้

วัสดุที่เอามาใช้ทำบอดี้เป็นเซรามิก ว่ากันว่ามีความแข็งประมาณระดับ 8 ของมาตราโมส (Mohs scale) ซึ่งจะว่าไปแล้วมันแข็งมากในระดับที่ผมนึกไม่ออกว่าจะมีอะไรในชีวิตประจำวันที่จะมาทำให้มันเป็นรอยได้เลย แต่ความแข็งในระดับนี้ ย่อมทำให้เซรามิกเปราะด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากตกหล่นละก็ มีโอกาสที่จะแตกได้ง่ายๆ เลย … อ้อ! เคสที่แถมมา บางมาก เข้าใจว่ามันเน้นไปที่บางและเบามากกว่า
เคยมี YouTuber เขาทำการทดสอบ Drop test ตัว Mi Mix รุ่นแรก ที่ใช้บอดี้แบบเซรามิกมาแล้ว ซึ่งผลก็คือ หากตกบนพื้นคอนกรีตที่ความสูงราวๆ 60 เซ็นติเมตร แบบไม่ตั้งใจ แล้วมุมของตัวเครื่องลง อะไรประมาณนี้ มันจะมีโอกาสที่ทำให้เซรามิกแตกได้เลย และด้วยความที่หน้าจอมันเต็มพื้นที่ โอกาสที่จอแตกก็จะมากตามมาด้วย ดังนั้น ยังไงผมก็ยังอยากจะแนะนำให้ใส่เคสอยู่ดี
จริงๆ ผมอยากลองใช้งานแบบไม่ใส่เคสนะ เพราะเจ้านี่สีสวยดีใช้ได้เลย แต่ว่ามันขัดซะเงาแว้บแบบนี้ เวลาจับแล้วมันจะเลอะรอยนิ้วมือง่ายมาก ก็เลยตัดสินใจว่า ใส่เคสเหอะ

ด้วยดีไซน์ที่ทำให้หน้าจอเต็มพื้นที่ตัวเครื่องแบบนี้ และมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ระดับ 6.39 นิ้วแบบนี้ ปัญหานึงที่เกิดขึ้นชัดเจนคือ อุ้งมือมันมักจะไปโดนคีย์บอร์ด หรือปุ่มที่อยู่ตรงมุมด้านล่าง ซ้ายมือหรือขวามือ เอาง่ายๆ ครับ

และตามธรรมเนียมของรุ่นไฮเอนด์ในปัจจุบัน ที่อยู่ในความพยายามที่จะเอาช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ออกไป Xiaomi Mi Mix 3 ก็ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ครับ แต่ว่ามันมีตัวแปลงแถมมาให้ ซึ่งแอบซ่อนเอาไว้ในกล่อง ที่อยู่ใต้ Wireless charger ที่แถมมา ต้องเอา Wireless charger ออกมาก่อน แล้วถึงจะเจอกล่องครับ แอบซ่อนไว้ดีเกิ๊น … อ้อ! ตัวจิ้มซิมก็อยู่ในกล่องนี้ด้วยเช่นกันนะครับ

นอกเหนือจากปุ่ม Volume และ Power ที่อยู่ด้านเดียวกันแล้ว ก็มีปุ่มอีกปุ่มนึง อยู่ฝั่งด้านซ้ายของตัวเครื่อง มันคือปุ่ม AI Assistant ที่เอาไว้กดเรียกผู้ช่วยส่วนตัวมา อย่าง Global version นี่กดแล้วจะเรียก Google Assistant ขึ้นมา จากที่ผมลองใช้ ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ เพราะว่าปกติก็กดปุ่ม Power ค้างเอาไว้ก็เรียกได้เหมือนกันอยู่แล้ว และยิ่งคนที่ไม่ได้ใช้ Google Assistant ยิ่งไร้ประโยชน์เข้าไปอีก และจนถึงตอนนี้ ถ้าไม่ Root ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไอ้ปุ่มนี้ไปทำหน้าที่อื่นได้ครับ (ผมงี้อยากเอามาทำเป็นปุ่ม Shutter จริงๆ พับผ่า)
ประสบการณ์ในการใช้งาน Xiaomi Mi Mix 3
เกี่ยวกับประสบการณ์ อย่างแรกเลยที่ต้องขอพูดคือเรื่องน้ำหนัก (ฮา) มันหนักถึง 218 กรัมเลยทีเดียว เรียกว่าหนักกว่าสมาร์ทโฟนที่ขนาดประมาณนี้ราวๆ เกือบครึ่งขีด ปัจจัยหลักมาจากที่ใช้เซรามิกเป็นวัสดุนี่แหละ
ถัดมาที่ต้องขอพูดถึงคือ กล้องหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ แล้วเปิดใช้งานได้ด้วยการเลื่อนหน้าจอ ซึ่งตรงนี้ Xiaomi ทำได้ดีในแง่ของการดีไซน์ เพราะว่าแน่นสนิทดีด้วยแรงแม่เหล็กที่ยึด แต่ก็ไม่ได้แน่นมาก สามารถเลื่อนเข้าเลื่อนออกไม่ยาก และนั่นแหละ เลยทำให้เวลาที่หยิบเอาเจ้านี่ขึ้นมาเช็ดหน้าจอกับเสื้อ เวลาที่หน้าจอมันเลอะๆ หรือบางทีตอนที่เก็บเข้ากระเป๋ากางเกง อะไรแบบเนี้ย หน้ามันก็เลื่อนเปิดออกมาได้ในบางทีอะ

ผมก็ห่วงเรื่องฝุ่นที่จะเข้าไปอยู่ในนี้เหมือนกัน เวลาที่เปิดใช้งานแล้ว ก่อนที่จะปิด ผมก็ต้องคอยเช็ดให้สะอาดก่อน แต่ถึงยังงั้นก็เหอะ มันก็ยังมีฝุ่นผงเล็กๆ น้อยๆ หลุดติดไปได้อยู่บ้างอยู่ดี กล้องหน้าเป็นกล้องคู่ ความละเอียด 24 ล้านพิกเซลตัวนึง กับ 2 ล้านพิกเซลอีกตัว ทำหน้าที่เป็น Depth sensor ดีไซน์แบบนี้นี่เองที่ทำให้ Xiaomi สามารถทำหน้าจอให้เต็มพื้นที่ได้สุดๆ โดยไม่ต้องเอากล้องไปซ่อนอยู่ตรงมุมด้านล่างของหน้าจอเหมือนตอน Mi Mix รุ่นแรกและรุ่นที่สอง
อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับ OPPO Find X ที่สไลด์กล้องหน้าที่ซ่อนไว้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติเพื่อปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้า การที่ซ่อนกล้องแบบนี้ มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยสะดวกซักเท่าไหร่ เพราะการสแกนใบหน้าที่สะดวกสุดๆ มันควรจะสแกนให้โดยอัตโนมัติเมื่อหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดู แล้วมันก็จะปลดล็อกหน้าจอให้ทันที แต่การที่ต้องสไลด์เปิดกล้องเองมันเลยทำให้ความสะดวกนี้หมดไป แต่ยังดีว่ามันมีตัวสแกนลายนิ้วมือมาควบคู่ด้วย (ซึ่งผิดกับ OPPO Find X ที่ตัดมันออกไปเลย เพื่อให้ด้านหลังนี่โล่งๆ ไป) ฉะนั้นเราก็เลยยังใช้งานได้สะดวกดีเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไปในปัจจุบันอยู่

Xiaomi Mi Mix 3 มาพร้อมกับ MIUI 10 ตัวล่าสุด ซึ่งอ้างอิงอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครับ เวอร์ชันใหม่ล่าสุดกันเลยทีเดียว และมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆ ที่ดูๆ แล้วก็คล้ายๆ กับของที่แบรนด์จีนอย่าง OPPO หรือ Vivo มีให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Theme, Cleaner หรือ Security อะไรพวกนี้
โดยรวมแล้ว หน่วยประมวลผล Snapdragon 845 และแรม 6GB กับความจุ 128GB ที่ให้มา ก็มากเพียงพอสำหรับการใช้งานโดยทั่วๆ ไปอยู่ จะเสียก็ตรงที่ไม่มีพื้นที่ให้ใส่ MicroSD card เพื่อเพิ่มความจุเลย แต่พวกรูปถ่ายและวิดีโอนั้นสามารถใช้แอป Photos ของ Google ในการแบ็กอัพไปเก็บ แล้วค่อยลบรูปกับวิดีโอที่เก็บไว้ในเครื่องทิ้งไป เพื่อให้มีเนื้อที่ว่างเพิ่มขึ้นก็ได้
เผื่อใครไม่รู้ Google Photos ช่วยคุณได้
Google ให้บริการเก็บรูปและวิดีโอ แบบเดียวกับที่ Apple มี iCloud นั่นแหละ เพียงแต่ Google ให้บริการสองแบบ คือ เก็บภาพและวิดีโอที่ความละเอียดดั้งเดิม ซึ่งอันนี้จะไปใช้พื้นที่ที่ Google (ซื้อเพิ่มได้ มีค่าบริการรายเดือน) กับการเก็บภาพและวิดีโอที่ความละเอียดสูง ซึ่งมีความละเอียดสูงเพียงพอสำหรับการรับชม แต่จะให้พื้นที่เก็บได้แบบไม่จำกัด
แล้วเมื่อเราแบ็กอัพรูปไหนไปแล้ว ก็สามารถกด Free up device space เพื่อลบรูปและวิดีโอนั้นๆ ออกจากเครื่องได้ แต่เรายังคงจะสามารถเปิดรูปนั้นดูได้ปกติผ่านแอป Photos ของ Google เพราะมันจะโหลดมาผ่านอินเทอร์เน็ต

สเปกแรงขนาดนี้ เอามาเล่นเกมกราฟิกโหดๆ ได้สบายๆ หมดห่วงครับ แต่อัตราส่วนการแสดงผลแบบ 19.5:9 นี่อาจทำให้การแสดงผลบางอย่าง ของบางเกม ที่ไม่ได้ทำออกมารองรับอัตราส่วนการแสดงผลแบบนี้ ผิดเพี้ยนไปได้บ้าง แต่เกมยอดนิยมส่วนใหญ่ ไม่น่าจะมีปัญหานี้หรอกนะ

เกมบางเกม อย่างเช่น HUNT เนี่ย มันไม่รองรับการแสดงผลแบบเต็มจอครับ แต่จำเป็นต้องเปิดโหมดการแสดงผลแบบเต็มจอ เพื่อที่จะให้ภาพมันอยู่ตรงกลาง ไม่อย่างนั้น ภาพมันจะไปชิดขอบด้านซ้าย เหลือแต่แถบดำๆ ด้านขวา ใหญ่ๆ น่าเกลียดกมาก
ในแง่ของคุณภาพเสียง ลำโพงของ Xiaomi Mi Mix 3 ถือว่าให้คุณภาพเสียงดี และก็เสียงดังใช้ได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เป็นรุ่นเรือธงแล้ว แต่ลำโพงยังเป็นแบบโมโน ฉะนั้นในแง่ของความบันเทิง ผมมองว่าใช้เสียบหูฟังเอา หรือใช้หูฟังแบบบลูทูธน่าจะดีกว่าครับ
อ้อ! ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือความเสถียรของซอฟต์แวร์ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นเจอเหมือนผมไหม แต่ที่ผมเจอเนี่ย คือ MIUI10 ดูจะยังไม่เสถียรเท่าไหร่ มันยังมีบั๊กอยู่บาง นานๆ ทีผมก็จะเจออาการแอปเด้งบ้างล่ะ อยู่ๆ ก็ค้างเติ่งไปบ้างล่ะ ฉะนั้น ทำใจไว้ครับ
การถ่ายภาพด้วย Xiaomi Mi Mix 3
เรื่องการถ่ายภาพนี่เป็นปัจจัยนึงที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อ Xiaomi Mi Mix 3 เลยนะ คือจริงๆ แล้วผมอยากได้ Mi Mix มาตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว เพราะอยากได้สมาร์ทโฟนแบบหน้าจอเต็มพื้นที่ แต่ว่าต้องตัดใจไม่เอา เพราะว่าคุณภาพของกล้องมันไม่เวิร์กเท่าไหร่ ก็มาตัดสินใจได้ตอน Mi Mix 3 นี่แหละ

ในแง่ของ User Interface กล้องนั้น การใช้งานไม่ยุ่งยาก มีความคล้ายๆ กับระบบปฏิบัติการ iOS อยู่ ซึ่งดูๆ ไปแล้วตอนนี้ระบบปฏิบัติการ Android ของหลายๆ ยี่ห้อ จะทำ User Interface ประมาณนี้กัน
Xiaomi Mi Mix 3 ได้คะแนนการถ่ายภาพจาก DXOMark ถึง 103 คะแนนเลย หรือถ้าจะคิดเฉพาะการถ่ายภาพนิ่ง ก็ได้มากถึง 108 คะแนนเลย และคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้จริงนั้น ก็ตามที่เขาคุยเอาไว้นั่นแหละครับ

ตรงนี้ DXOMark เขาบอกว่า Xiaomi Mi Mix 3 ถ่ายภาพได้ยอดเยี่ยมเวลากลางวัน ผมก็อยากรู้ว่า แล้วถ้าเกิดกลางคืน หรือแสงน้อยล่ะ มันจะเป็นยังไง?

ก็ต้องบอกว่า ผมค่อนข้างประทับใจอยู่นะครับ กับคุณภาพของภาพที่ได้ ตัว Xiaomi Mi Mix 3 จะพยายามเร่งความสว่างของภาพให้มากขึ้น แต่ถึงยังงั้นก็ยังมี Noise ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่มีข้อจำกัดนิดหน่อยคือตอนที่ถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย แต่มีแหล่งกำเนิดแสงที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้แม้จะเปิด HDR ก็ยังไม่ช่วยมาก ดูจากภาพบนที่ผมถ่ายในรถเมล์ จะเห็นว่าพอพยายามทำให้ถ่ายเห็นคำว่า Exit บนหลอดไฟ ภาพในรถก็แบบว่า มืดลงไปเยอะเลย นึกว่าถ่ายตอนดึก แต่จริงๆ มันแค่หัวค่ำเอง
ทีนี้มาดูเรื่องเลนส์เทเลโฟโต้ของ Xiaomi Mi Mix 3 บ้าง ดูด้านล่างนะครับ เป็นภาพจากเลนส์มุมกว้าง หรือพูดง่ายๆ คือเลนส์ปกตินั่นแหละ เอาไว้ถ่ายวิว
ทีนี้มาดูภาพที่เดียวกัน จากเลนส์เทเลโฟโต้กันบ้างครับ ผมลองเทียบกับของ iPhone 8 Plus แล้ว ก็บอกได้ว่ากำลังขยายของเลนส์เทเลโฟโต้มันพอๆ กันครับ ระยะโฟกัสดูๆ แล้วก็เท่าๆ กับของ iPhone 8 Plus ครับ
ต่อไปก็ถึงคิวของการถ่ายภาพแบบโบโก้ หรือที่เรียกว่า Portrait mode กันบ้าง ลองด้วยกล้องหลังกัน ภาพที่ได้ก็ประมาณนี้ครับ
ลักษณะของการทำภาพหน้าชัดหลังเบลอในโหมด Portrait ของ Xiaomi Mi Mix 3 นี่เหมือนกับของ iPhone X ที่เป็น iOS เวอร์ชันล่าสุด ที่สามารถปรับความเบลอในตอนหลังได้ และก็มีจุดอ่อนแบบเดียวกันเลยคือ ต้องเว้นระยะห่างจากสิ่งที่เราต้องการจะถ่ายประมาณนึง และก็ยังตัดภาพได้ไม่เนียนนัก ถ้าเกิดว่าเจอเส้นผมกระเซิงหน่อย หรือแบ็กกราวด์ด้านหลังดันเป็นสีเดียวกับวัตถุที่อยู่ด้านหน้า
ผมไม่แน่ใจว่า AI camera ของ Xiaomi Mi Mix 3 นี่มันจดจำภาพได้กี่แบบ เท่าที่ผมลองใช้ ผมเจอแค่สามซีนที่ AI camera มันจำแนกออกมาได้คือ อาหาร, อาคาร และแมว แต่ที่จะได้ใช้บ่อยสุดก็น่าจะเป็นการถ่ายภาพอาหารมากกว่านะผมว่า


เท่าที่ดู โหมด AI มันก็ช่วยได้ประมาณนึงในการถ่ายภาพอาหารให้ดูน่ากิน แต่ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารด้วย ดูจากที่ผมลองถ่ายขาหมูเยอรมัน สีมันก็ยังจืดๆ อยู่ดี แต่เวลามาถ่ายกุ้งผัดพริกเกลือ สีสันมีดูสดขึ้น ดูน่ากิน
ลองถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าดูบ้าง มุมกล้องกว้างประมาณนึง ใช้ถ่ายภาพเซลฟี่ตอนกำลังไปเที่ยวได้สบายๆ คุณภาพของกล้องระดับ 24 ล้านพิกเซล ก็ไม่ต้องไปห่วงอะไร แต่อย่าไปคาดหวังอะไรกับโหมด AI หรือว่าโหมดบิวตี้มากนัก ถ้าอยากได้หน้าสวย บอกตรงๆ เล่นมาหลายยี่ห้อแล้ว ยังไม่เจออันไหนทำฟรุ้งฟริ้งได้ถูกใจสาวๆ เท่า OPPO ครับ
แต่ด้วยความที่ Xiaomi Mi Mix 3 พยายามจะเร่งแสงของภาพให้สว่าง ในบางครั้ง เวลาถ่าย HDR กลางแจ้ง แต่ตัวเราอยู่ในที่ร่มและย้อนแสง มันก็อาจจะเกิดปัญหา Ghost image หรือภาพซ้อนขึ้นมาได้แบบในรูปด้านบนครับ ทั้งนี้เพราะกล้องหน้ามันไม่มี Optical Image Stabilization (OIS) นั่นเอง
ทีนี้ลองกล้องหน้าในโหมด Portrait ดูบ้างครับ การมี Depth sensor ช่วยได้เยอะอยู่ การทำหน้าชัดหลังเบลอ ทำได้เนียนดีขึ้น แต่ก็ยังมีจุดที่เป็นรายละเอียดเล็กน้อย ที่มันเบลอไม่ได้ อันนี้มันจะดีขึ้นเมื่อฮาร์ดแวร์ในส่วนของเซ็นเซอร์กล้องมีความละเอียดสูงขึ้นล่ะนะ
จุดสำคัญที่ต้องให้ติเกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพ ผมว่าเป็นเรื่องของความเสถียรมากกว่า เพราะแอปกล้องนี่เป็นอะไรที่เจอแอปค้างบ่อยที่สุดแล้วในบรรดาทุกแอปในสมาร์ทโฟนตัวนี้ แล้วมันทำให้น่ารำคาญมากเพราะมันต้องปิดแอปเปิดใหม่ จะถ่ายรูปแล้วต้องมารอแบบนี้ หรือบางทีถึงกับพลาดโอกาสการถ่ายช็อตเด็ดๆ ไปเลยทีเดียว
บทสรุปของการรีวิว Xiaomi Mi Mix 3
ในฐานะที่เป็นคนซื้อมาใช้เองจริงๆ ผมว่าเป็นเรือธงที่คุ้มค่า สเปกฮาร์ดแวร์แรงดี ราคาไม่แพงมากจนเกินไป ไอ้พวกเรือธงราคาเกินสามหมื่น แล้วจะให้อัพเกรดกันปีละเครื่อง แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ ครับ แต่ถ้าราคายังต่ำกว่าสองหมื่นแบบนี้ ก็ยังพอจะกัดฟันอัพเกรดกันปีละเครื่องได้อยู่บ้าง
ถ้าไม่นับเรื่องที่ซอฟต์แวร์ยังมีบั๊กอยู่พอสมควร Xiaomi Mi Mix 3 ก็นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องทีเดียว ใช้งานได้ทุกรูปแบบ มีหน้าจอแสดงผลแบบเต็มพื้นที่ ดูเต็มตา ไม่ต้องมารำคาญติ่ง กล้องถ่ายรูปก็สวยงาม