ผมเป็นคนที่ใช้เน็ตแบบไม่บันยะบันยัง และมีซิมของค่ายมือถือครอบคลุม 3 รายใหญ่เลยครับ ตั้งกะ True, dtac, AIS ยัน LINE Mobile และสันดานเสียของผมอย่างนึงก็คือ เป็นคนขี้เกียจคิดเล็กคิดน้อย ก็เลยซื้อแพ็กเกจเน็ตแบบเผื่อๆ เอาไว้เสมอ แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่วิธีที่ถูกนักหรอกครับ ผมเลยขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ ว่าจริงๆ แล้ว ผมมองว่าเวลาเลือกซื้อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตมือถือนี่ควรทำยังไง?
ออกตัวล้อฟรีก่อน…
บทความนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้สิทธิของแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตในการซื้อสมาร์ทโฟนแบบลดราคา เพราะแบบนั้นมันมักจะติดสัญญา ซึ่งทำให้ปรับเปลี่ยนแพ็กเกจได้ไม่ดังใจเท่าไหร่ และผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ จากค่ายมือถือใดๆ ในการเอ่ยถึงแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตต่างๆ ในบทความนี้ ทั้งหมดคือที่ผมใช้งานอยู่จริง
ลิงก์ต่างๆ ที่ลิงก์ไปยังแพ็กเกจที่พูดถึงในบทความนี้เป็นลิงก์ที่เข้าถึงได้ ณ เวลาที่เขียนบทความนี้อยู่ แต่ในอนาคตลิงก์อาจตายได้ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะมาอัพเดตให้ไม่ไหวจริงๆ

ทำความเข้าใจแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตมือถือของไทยก่อน
ประเทศไทยเป็นประเทศนึงที่มีความหลากหลายทางแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตมือถือให้เลือกเยอะมาก เรียกว่าประเทศอื่นๆ ที่ผมเคยไปมานี่เทียบไม่ติดเลยครับ จะอเมริกา ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ผมไม่เคยเจอประเทศไทยที่แพ็กเกจยุ่บยั่บแบบของไทยอีกแล้ว แต่ไม่ว่ามันจะยุ่บยั่บขนาดไหน แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตมือถือของไทย มันก็แบ่งได้เป็นประมาณ 4 แบบหลักๆ คือ
- แพ็กเกจแบบเน็ตเร็วเต็มสปีด โดยจำกัดปริมาณ และเมื่อใช้งานครบตามปริมาณที่กำหนดแล้ว ก็จะมีสองความเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข คือ:
- ยังสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ต่อไป แต่ความเร็วก็จะถูกจำกัด เช่น 128kbps, 384kbps เป็นต้น
- เมื่ออินเทอร์เน็ตหมดแล้วก็หมดเลย อยากเล่นต่อควรซื้อแพ็กเกจเสริม เพราะหากใช้งานต่อไป จะมีค่าบริการต่อ MB ที่แพงมาก
- แพ็กเกจแบบเน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด แต่จำกัดความเร็วไว้ตลอด ซึ่งก็มีให้เลือกตั้งแต่ 512Kbps, 1Mbps, 4Mbps, 6Mbps, 10Mbps และกระโดดไปแบบเร็วเต็มเหนี่ยว ไม่อั้นไม่ลดสปีดกันเลยทีเดียว แพ็กเกจแบบนี้จะมีราคาแพงประมาณนึง (แต่ก็ไม่ได้แพงมาก ยกเว้นไอ้ที่เร็วเต็มเหนี่ยว ไม่อั้นไม่ลดสปีด ที่จะตกเดือนละเกือบสองพันบาท)
- แพ็กเกจแบบใช้ร่วมกันหลายๆ เบอร์ หรือที่เรียกว่า Shared plan/Family plan แล้วแต่ค่ายมือถือจะเรียก แพ็กเกจแบบนี้จะคล้ายๆ แบบแรก คือ จำกัดปริมาณมา แล้วเมื่อใช้ครบตามกำหนดแล้ว แม้จะยังเล่นเน็ตต่อได้ แต่ความเร็วก็จะตกลงมาฮวบเลย แต่จุดเด่นของเจ้านี่คือ มันใช้ร่วมกันได้หลายเบอร์ครับ เหมาะกับคนมีอุปกรณ์เยอะ หรือใช้ร่วมกับครอบครัวหรือแฟน
เห็นแมะ พอพยายามทำความเข้าใจแพ็กเกจเน็ตแล้ว มันก็ไม่ได้มีให้เลือกเยอะเท่าไหร่หรอก
พิจารณาการใช้งานของเราเพื่อเลือกประเภทของแพ็กเกจที่เหมาะสม
ทีนี้ถ้าเกิดเราอยากจะเลือกแพ็กเกจเน็ตที่ดีที่สุดสำหรับเรา เราต้องพิจารณาการใช้งานของเราก่อนครับ ว่าเป็นแบบไหน เพื่อที่จะได้เลือกใช้แพ็กเกจที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราได้ คุณลองอ่านหัวข้อต่อไปนี้ แล้วพิจารณาเอาว่า คุณมีพฤติกรรมการใช้งานแบบนี้หรือเปล่า?

ใช้งานทั่วไปบ่อย แต่ไม่ได้เน้นฟังเพลงออนไลน์หรือดูคลิปวิดีโอออนไลน์มากนัก อาจมีแชร์เน็ตไปยังอุปกรณ์อื่นบ้างนานๆ ทีที่จำเป็น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าข่ายนี้ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมไม่ได้ชอบฟังเพลงออนไลน์ ผมนิยมดาวน์โหลดจาก Apple Music มาไว้ใน iPhone เลยแล้วค่อยฟัง ส่วนพวกคลิปวิดีโอต่างๆ เอาไว้รอต่อกับ WiFi ก่อน ค่อยดู จะได้ไม่เปลืองเน็ตมาก ส่วนมากจะหมดไปกับการเล่นโซเชียลมีเดีย เช็กอีเมล แชท LINE อ่านการ์ตูนออนไลน์ ท่องเว็บ อะไรแบบนี้
ถ้าพฤติกรรมการใช้งานของคุณเป็นแบบนี้และอยากได้อินเทอร์เน็ตที่เร็วเต็มสปีดตลอดเวลาที่ใช้ ก็อยากแนะนำให้ใช้แพ็กเกจแบบเร็วเต็มสปีดแต่จำกัดปริมาณครับ จากนั้นคุณก็เช็กดูพฤติกรรมตัวเองว่า เดือนนึงๆ ใช้อินเทอร์เน็ตไปราวๆ กี่ GB แอปของผู้ให้บริการมือถืออะ มันจะมีตัวบอกให้เราได้ว่าเราใช้อินเทอร์เน็ตไปเท่าไหร่แล้ว (ของ LINE Mobile และ dtac จะมี Internet usage history ให้ดูเลย เลยดูเฉลี่ยย้อนหลังได้ แต่ของ Truemove กับ AIS จะเป็นการดูปริมาณเฉพาะของเดือนนั้นๆ ต้องดูก่อนวันตัดรอบบิล และต้องบันทึกประวัติเอา) จากนั้นคุณก็แค่เลือกซื้อแพ็กเกจที่ให้จำนวนดาต้ามาเพียงพอต่อการใช้งานต่อเดือนของเราก็พอ

ใช้งานบ่อย เน้นฟังเพลงออนไลน์ ดูวิดีโอออนไลน์ หรือมีการแชร์เน็ตไปยังอุปกรณ์อื่นๆ บ่อยๆ ด้วย
สิ่งที่ควรต้องการจึงไม่ใช่เน็ตความเร็วเต็มสปีดซะทีเดียวแล้ว แต่คุณต้องการความเร็วที่คงที่ ที่เร็วเพียงพอต่อการใช้งาน ตลอดเวลาการใช้งาน ดังนั้นใช้แพ็กเกจเน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีดจะดีกว่าครับ ทีนี้ก็อยู่ที่ว่า จะเลือกความเร็วเท่าไหร่ ซึ่ง
- 512kbps ผมไม่อยากแนะนำให้ใช้ มันช้าไป
- 1Mbps เหมาะสำหรับคนที่ทนได้กับเน็ตเต่า ใช้สมาร์ทโฟนสเปกราคาประหยัด พันสองพันบาท เวลาดู YouTube ก็ดูที่ความละเอียด 240p หรือ 360p แบบนี้ยังสบายๆ อยู่
- 4Mbps เป็นแพ็กเกจกลางๆ ที่คนทั่วไปใช้ดี เล่นโซเชียลก็เร็วประมาณนึง ดู YouTube แบบ 480p ก็พอไหว จะแชร์เน็ตให้อุปกรณ์อื่นๆ ใช้ เช่น ต่อกับโน้ตบุ๊กหรือ iPad เพื่อทำงาน ก็พอได้
- 6Mbps คือกรณีที่อยากจะดู YouTube แบบ 720p แล้ว จะแชร์เน็ตให้อุปกรณ์อื่นๆ ใช้ ซัก 2-3 เครื่องก็ยังพอไหว
- 10Mbps คือกรณีที่อยากจะดู YouTube แบบ Full HD แล้ว จะแชร์เน็ตให้อุปกรณ์อื่นๆ ใช้แบบโหดๆ พร้อมๆ กัน 2-3 เครื่องก็สบายๆ
- ความเร็วสูงสุด ไม่อั้น ไม่ลดสปีด แบบนี้คือใช้แทนเน็ตบ้านกันไปได้เลยครับ แต่ควรปฏิบัติตาม Fair Usage Policy ไม่ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ๆ มากๆ บ่อยๆ (แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้) และไม่ควรเอาไว้ดาวน์โหลดหรือปล่อย Bittorrent
จริงๆ ของ AIS ก็มีนะ (ผมใช้อยู่ 1Mbps ไม่อั้นไม่ลดสปีด) แต่ว่าบนหน้าเว็บ ไม่มีหน้าเพจไหนที่มีการรวบรวมแพ็กเกจพวกนี้ไว้ในที่เดียวเลย ก็เลยไม่รู้จะสร้างปุ่มลิงก์ให้ไปหากันยังไง เอาเป็นว่า ไปเข้าเว็บ AIS เอาเอง แล้วไปค้นเอาเองก็แล้วกัน ก็ไม่รู้ว่าทำไม AIS ต้องทำให้มันค้นหายากปานนี้ด้วย

ซิมลูกเทพ
ซิมลูกเทพเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่อยากได้แพ็กเกจเน็ตแบบไม่อั้นไม่ลดสปีด และมีราคาที่ถูกมากๆ เพียงแต่มีข้อจำกัดว่าซิมพวกนี้มักจะเป็นแบบเติมเงิน เรามักจะเลือกเบอร์ไม่ได้ ไม่รู้ใครเป็นคนลงทะเบียนซิมให้ด้วย เหมาะสำหรับการซื้อมาใช้เล่นเน็ต พอครบตามอายุซิมปุ๊บก็ทิ้งไป เปลี่ยนซิมใหม่ มากที่สุดครับ ความเร็วของซิมลูกเทพจะอยู่ราวๆ 1-4Mbps เป็นส่วนใหญ่ แต่ราคาเน็ตจากซิมพวกนี้ถูกมากๆ เริ่มต้นแค่ประมาณร้อยนิดๆ ต่อเดือน ซึ่งถูกกว่าไปสมัครจากผู้ให้บริการโดยตรง 2-5 เท่ากันเลยทีเดียว

มีอุปกรณ์หลายชิ้น หรือใช้กันหลายคน แต่ว่าแต่ละคนก็ใช้งานมากน้อยไม่เท่ากัน และโทรหากันบ่อย
พวกครอบครัวหรือแฟนกันเนี่ย จะเข้าข่ายการใช้งานแบบนี้เยอะ ถ้าแต่ละคนไปเข้าข่ายพฤติกรรมแบบแรก แต่ไม่ซีเรียสที่จะมาแชร์เน็ตร่วมกัน หรือมีคุณคนเดียวนี่แหละ แต่มีอุปกรณ์เยอะเหลือเกินที่ใส่ซิมได้ เช่น iPhone, iPad, Android เป็นมือถือเครื่องที่สอง, โน้ตบุ๊กก็ใส่ซิมได้ หรือไม่ก็พก Pocket WiFi เอาไว้ อะไรแบบนี้ละก็ แพ็กเกจแบบ Shared plan/Family plan นี่อาจจะเหมาะสำหรับคุณ
ทุกค่ายเขาก็มีแพ็กเกจประเภท Shared plan/Family plan ครับ เก็บข้อมูลคร่าวๆ กันเลยว่า แต่ละคนใช้เน็ตกี่มากน้อย จากนั้นก็ซื้อแพ็กเกจตามนั้นเลยครับ ส่วนใหญ่แล้วแพ็กเกจพวกนี้จะมีราคาที่รวมๆ แล้ว ถูกกว่าแต่ละคนไปซื้อแพ็กเกจแยกกันนิดหน่อย และการเอาเน็ตมาใช้รวมเป็นกองเดียวกันแบบนี้ ทำให้เราใช้ปริมาณเน็ตที่มีมาให้คุ้มค่ามากขึ้นด้วย นอกจากนี้ แพ็กเกจพวกนี้มักจะให้โทรหากันเองฟรีอีก คุ้มสุดๆ แล้วสำหรับครอบครัวหรือคนที่เป็นแฟนกัน
สำหรับ Shared plan/Family Plan ของค่ายต่างๆ คลิกดูจากตรงนี้ได้
คุณไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตหนักๆ ทุกวัน บางวันไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตเลย แต่ก็จะมีบางวันที่ต้องการใช้แบบจัดเต็ม
ไม่ใช่ทุกคนบนโลกออนไลน์จะมีชีวิตติดออนไลน์ บางคนเป็นลูกจ้างรายวันในโรงงาน ที่ต้องทำงานตลอดทั้งวัน นายจ้างไม่ให้เอามือถือเข้าไปในที่ทำงาน (บางโรงงานต้องระวังเรื่องการปนเปื้อน เขาก็จะห้าม บางที่ก็ห้ามเพื่อป้องกันพนักงานเอาแต่เล่นมือถือจนไม่ทำงาน) คนกลุ่มนี้เขาไม่ได้ต้องการอินเทอร์เน็ตทุกวัน

กรณีแบบนี้ ใช้แบบเติมเงิน แล้วค่อยๆ ทยอยซื้อแพ็กเกจเน็ตเสริมตามจำนวนวันที่ต้องการจะดีที่สุด พวกนี้ไม่ว่าจะค่ายไหนๆ เขาก็จะมีแพ็กเกจเสริมซื้อเน็ตใช้เป็นวันๆ หรือต่อสัปดาห์อยู่แล้ว ลองไปสอบถามดูครับ (ภาพข้างบน ยกตัวอย่างของ Truemove มา) เวลาเลือก ดูให้ดีว่าได้เน็ตใช้กี่ GB หรือไม่อั้นไม่ลดสปีดที่ความเร็วเท่าไหร่ และใช้ได้นานกี่วันนะครับ
แพ็กเกจเสริมสำหรับเบอร์เติมเงินของค่ายต่างๆ ไปดูรายละเอียดได้ตามนี้
คุณมีความต้องการเน้นเล่นเกมเป็นพิเศษ
เดี๋ยวนี้เกมออนไลน์บางเกมเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักเล่นเกมคนไทย เช่น ROV, PUBG อะไรแบบนี้ ค่ายมือถือบางค่ายเขาก็จัดแพ็กเกจแบบพิเศษมาให้เพื่อให้เล่นเกมพวกนี้ฟรี ไม่คิดค่าเน็ตโดยเฉพาะ หรือบางค่ายอาจให้การเล่นฟรีๆ แบบนี้ไปอยู่ในแพ็กเกจทุกแพ็กเกจเลย เช่น ของ AIS ที่แพ็กเกจ 4G MAX ทุกแพ็กเกจ จะเล่นเกม ROV และ PUBG ได้ไม่จำกัด

หรือของ Truemove H เองที่ทำ eSport SIM มาโดยเฉพาะ พร้อมมีแพ็กเกจเล่น ROV ไม่อั้นที่มาพร้อมกับตัวเลือกแพ็กเน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด หรือเน็ตคิดตามปริมาณ และอื่นๆ อีกมาก

แล้วผมเลือกแพ็กเกจเน็ตแบบไหนใช้?
เขียนมาถึงตรงนี้ แล้วหลายคนอาจจะอยากถามว่า แล้วผมเลือกใช้แพ็กเกจเน็ตแบบไหน? จะลองเขียนอธิบายให้อ่านกันนะครับ เพราะผมมีหลายแพ็กเกจเหลือเกิน
- ผมใช้ Truemove H 4G+ Family Share Plan เป็นแพ็กเกจสำหรับเบอร์หลักของผม ผมแชร์กับแม่และแฟนของผม จะได้โทรหากันเองฟรี ผมไม่ค่อยได้ใช้อินเทอร์เน็ตจากแพ็กเกจนี้ เพราะให้แม่และแฟนแชร์กันใช้เป็นส่วนใหญ่ ใช้แพ็กเกจ 1,899 บาท เล่นเน็ตได้ 30GB โทรได้ 2,000 นาที ซึ่งเพียงพอสำหรับสองคนใช้สบายๆ ส่วนผมได้อานิสงส์จากการโทรศัพท์มากกว่า ซิมนี้อยู่บนสมาร์ทโฟนที่เป็น Android 2 ซิมตัวหลักของผม (ปัจจุบันคือ Xiaomi Mi Mix 3) แต่ผมก็มีผูกเบอร์อีก 3 เบอร์เอาไว้กับแพ็กเกจนี้ เอาไปใส่ใน Pocket WiFi และสมาร์ทโฟนอีกสองเครื่อง เอาไว้สำหรับตอนรีวิว จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเอาซิมที่ใช้กับมือถือตัวหลักไป สะดวกดี
- ผมใช้ LINE Mobile กับ iPhone 8 Plus ของผม ที่เป็นเครื่องหลักในการเล่นอินเทอร์เน็ต LINE Mobile จะมีแพ็กเกจที่เอามาลดราคาเสมอๆ และสามารถเปลี่ยนแพ็กเกจได้ง่ายทุกเดือน (จะเริ่มนับแพ็กเกจใหม่ทุกรอบบิล) ผมพิจารณาแล้ว ผมเล่นเน็ตราวๆ 22GB/เดือน โดยดูจากประวัติการใช้งานย้อนหลังไปตั้งกะเมื่อครั้งยังใช้แพ็กเกจ Unlimited ฉะนั้นตอนนี้ผมก็เลยเลือกใช้แพ็กเกจ XXL ที่ให้เน็ต 40GB ซึ่งณ ตอนที่เขียนบล็อกนี้อยู่ มันแค่เดือนละ 329 บาทเท่านั้นเอง
- ผมใช้ AIS เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด 1Mbps กับ Android 2 ซิมตัวหลักของผม เพื่อเอาไว้ใช้เล่นเน็ต ซึ่งตัวนี้มันแค่เอาไว้เผื่อต้องการเล่นโซเชียล กับเปิดเว็บนิดหน่อย และ 1Mbps มันก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว และมันทำให้ผมใช้เน็ตได้ โดยไม่ต้องไปใช้เน็ตจาก 4G+ Family Share Plan ที่ผมให้แม่กับแฟนใช้ด้วย
ขอหาดาวน์ไลน์นิดนึง คืองี้ LINE Mobile มันมีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างคือ หากแนะนำเพื่อนมาสมัคร คนแนะนำได้ลด 10 บาท และเพื่อนที่ได้รับคำแนะนำมาก็ได้ส่วนลด 10 บาท ทุกเดือน ตราบเท่าที่ไอ้คนแนะนำและเพื่อนที่สมัครตามคำแนะนำมันยังไม่ยกเลิกใช้ LINE Mobile ไปซะก่อน ฉะนั้น หากใครคิดว่า LINE Mobile น่าสนใจ และอยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณ dtac ครอบคลุม (LINE Mobile ให้บริการอยู่บนเครือข่ายของ dtac) แล้วอยากลองสมัคร คลิกปุ่มสีเขียวอ่อนด้านล่างโลด คุณกับผมจะได้รับส่วนลดกันคนละ 10 บาทในทันที

อันนี้ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จาก LINE Mobile มาให้โปรโมทนะครับ กะมาเอาส่วนลดจากดาวน์ไลน์ล้วนๆ (ฮา) ใครสมัครก็คิดซะว่าช่วยลดต้นทุนค่าเขียนบล็อกของผมหน่อยก็แล้วกัน ณ ตอนนี้แพ็กเกจที่น่าสนใจคือ L, XXL และ Unlimited เลือกสมัครได้ตามอัธยาศัย แต่ถ้าถามผม XXL ก็น่าจะเพียงพอสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเหอะ