สอย Xiaomi Mix Mi 3 ไปเมื่อช่วงเทศกาล 12.12 ที่ผ่านมา และของก็มีส่งเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวานนี้แหละ เห็นมีหลายคนอยากอ่านรีวิวของผม เลยคิดว่าจะพรีวิวให้ได้อ่านกันก่อนว่าเกือบๆ 1 วันผ่านไปแล้วความประทับใจแรกที่ผมมีต่อเจ้านี่เป็นยังไงบ้าง
แกะกล่อง Xiaomi Mi Mix 3
จะเรียกว่า Xiaomi Mi Mix 3 เป็นเรือธงของค่ายนี้ตัวนึงเลยก็ว่าได้แหละ กล่องของมันก็เลยดูดีทีเดียวครับ ภายในกล่อง นอกจากจะมีตัวเครื่อง Mi Mix 3 ที่ดูจะพยายามชูจุดขายในเรื่องคะแนน DXOMark กล้องในส่วนของการถ่ายภาพที่ได้คะแนนตั้ง 108 คะแนนแล้ว ก็มี Wall charger ที่ได้ยินมาว่าเป็นแบบ QuickCharge 3.0 มาให้ (แต่ตัว Mi Mix 3 เอง มันรองรับ QuickCharge 4.0+ นะ)

นอกจากนี้ ยังมีการแถมแท่นวาง Wireless charger มาให้ด้วย ซึ่งเป็นแบบ Fast charge รองรับอินพุต 5V 2A และ 9V 2A ซึ่งดูๆ แล้วคือ ให้เราเลือกว่าจะใช้ Wall charger กับสายเคเบิล USB Type-C ที่แถมมาให้ เอาไว้ชาร์จตัวสมาร์ทโฟนโดยตรง หรือเอาไว้ต่อกับ Wireless charger

ตอนผมซื้อเสร็จ ผมเตรียมซื้อเคสและกระจกกันรอยของ Nillkin มาด้วยเลย เพราะรุ่นใหม่ขนาดนี้ ไม่น่าจะหาซื้อในประเทศไทยได้ในตอนนี้ แต่ที่ผมคาดไม่ถึงคือมันมีแถมเคสมาให้ด้วยนี่สิ (ฮา) ผมไม่แน่ใจว่าเคสที่แถม มันจะเป็นสีเข้ากับตัวเครื่องไหม แต่ตัวที่ผมสอยมาเนี่ย เป็นสีน้ำเงินครับ เคสก็สีน้ำเงินตามด้วย เป็นเคสแบบบางและเบามาก แต่เพราะผมซื้อของ Nillkin มาแล้ว เลยใช้ของ Nillkin ต่อไปอะนะ
เอ้า! ทีนี้มาดูรูปร่างหน้าตาของ Xiaomi Mi Mix 3 กันหน่อย
ตัวเครื่องมีขนาดพอๆ กับ Vivo X21 ที่ผมใช้อยู่เลยแฮะ หน้าจอมีขนาด 6.39 นิ้ว วัดตามแนวทแยง แต่เพราะเจ้านี่มันมีอัตราส่วนการแสดงผลที่ 19.5:9 ฉะนั้นอย่าคิดว่าหน้าจอมันจะใหญ่อะไรมากมายครับ หน้าจอนี่กินเนื้อที่ 93.4% ของตัวเครื่องกันเลยทีเดียว (ในภาพนี่ผมยังไม่ได้ใส่เคส)

และที่มันทำให้หน้าจอใหญ่ขนาดนี้ โดยไม่มีติ่งได้ ก็เพราะดีไซน์ซ่อนกล้องในแบบที่ต้องสไลด์หน้าจอ ซึ่งจะเผยให้เห็นกล้องคู่ โดยตัวหลักเป็นความละเอียด 24 ล้านพิกเซล f2.2 ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.8 นิ้ว ขนาดพิกเซล 0.9 ไมครอน ส่วนกล้องตัวรอง เป็นแค่ Depth sensor ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล แล้วก็มี LED แฟลช เอาไว้ถ่ายภาพเซลฟี่ตอนกลางคืนได้

ส่วนด้านหลังเป็นเซรามิกครับ อย่างที่บอก ของผมมันสีน้ำเงิน แต่พอถ่ายภาพตอนกลางคืนในห้องแล้ว มันอวดสีไม่ได้เต็มที่แฮะ ไว้เดี๋ยวตอนรีวิวจริงๆ จะถ่ายรูปมาให้ดูใหม่นะ มีกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แบ่งเป็นเลนส์ Wide f1.8 กันสั่น 4 แกน OIS มีขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.55 นิ้ว ขนาดพิกเซล 1.4 ไมครอน ส่วนอีกเลนส์เป็นเลนส์ Telephoto ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3.4 นิ้ว ขนาดพิกเซล 1 ไมครอน

ในส่วนของดีไซน์ที่สไลด์หน้าจอมาได้นั้น ส่งผลให้เคสของ Xiaomi Mi Mix 3 ต้องมีการออกแบบให้ส่วนด้านล่างของหน้าจอถูกตัดแหว่งไปหน่อย จะได้ไม่ไปขวางทางการสไลด์หน้าจอแบบนี้

หน้าจอแบบสไลด์นี่ ออกแบบมาโดยใช้แม่เหล็กช่วยยึดหน้าจอให้ติดแน่นแข็งแรง ไม่โยกเยกคลอนไปคลอนมาแม้จะถูกสไลด์เข้าออกไปนานๆ ซึ่งทาง Xiaomi บอกว่าสามารถรองรับการสไลด์ได้ราวๆ 300,000 ครั้ง (ลองคิดว่าสไลด์วันละ 100 ครั้งก็ได้ 3,000 วันหรือราวๆ 8 ปี ซึ่งถือว่ามาเกินพอแล้ว)
ความประทับใจแรกที่มีต่อ Xiaomi Mi Mix 3
อย่างแรกเลยคือ เจ้านี่หนักเป็นบ้าเลยครับ เป็นผลมาจากการที่ใช้เซรามิกบอดี้นั่นแหละ มันก็เลยหนักกว่าพวกสมาร์ทโฟนตัวอื่นๆ ที่เป็นอลูมิเนียมหรือแมกนีเซียมอัลลอยพอสมควร เจ้านี่หนัก 218 กรัมเลยทีเดียว หนักกว่า Vivo X21 ที่ขนาดพอกันตั้งกว่า 50 กรัมเลยทีเดียว

MIUI10 ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ Android 9.0 Pie นี่ผมว่ายังมีบั๊กอยู่ไม่น้อยเลยครับ ผมเจอปัญหาตั้งกะตอนเซ็ตอัพเครื่องครั้งแรกเลย ไม่ว่าจะเป็นปุ่มกดค้าง กดไม่ได้ หรือแอปกล้องค้าง อะไรแบบเนี้ย เป็นต้น ถ้ามีการอัพเดตแก้บั๊กมาต่อเนื่อง ก็คงจะดีขึ้น

ตัวสแกนลายนิ้วมือที่อยู่ด้านหลัง ทำงานได้ดี และเร็วดี และนี่น่าจะเป็นอะไรที่ใช้บ่อยกว่าการสแกนใบหน้า ซึ่งแม้ว่าจะมี และเซ็ตไม่ยาก แต่ใช้งานยุ่งยากครับ เพราะถ้าเทียบกับ OPPO Find X ที่กล้องที่ซ่อนไว้จะเด้งขึ้นมาอัตโนมัติแล้ว การที่จะต้องสไลด์ด้วยมือเองมันยุ่งยากกว่าการสแกนนิ้วเยอะเลย ขอบอก … อ้อ! แต่การสแกนใบหน้ามันก็รวดเร็วดีครับ

หลายๆ อย่างที่ Xiaomi Mi Mix 3 ในเวอร์ชันจีนมีแล้วน่าสนใจ เช่น Mi Roaming ที่เป็นระบบ eSIM เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในต่างแดน ก็เป็นอะไรที่ได้ใช้เฉพาะกับคนจีน เวอร์ชัน Global แบบนี้อดใช้ครับ แต่แอปพวกนั้นยังอยู่ในเครื่อง เพียงแค่ไม่สามารถเรียกใช้ได้ แต่โดนบังคับใส่ Lazada กับ Aliexpress มาด้วยอะ
ไม่ชอบตรงที่เป็นรุ่นเรือธงทั้งที ดันทำลำโพงมาแบบโมโนอะ จริงๆ น่าจะทำเป็นสเตริโอ มันจะได้ประสบการณ์เรื่องเสียงได้ดีกว่ามาก
เอาภาพจากกล้องของ Xiaomi Mi Mix 3 มาอวดนิดหน่อยก่อน
ปิดท้ายการพรีวิว ด้วยภาพจากกล้องที่ผมถ่ายไว้นิดๆ หน่อย เพื่อลองของครับ เดี๋ยวตอนรีวิวจริงๆ จะใส่ภาพมาให้อีกเยอะๆ นะ แต่ตอนนี้ เอาไปสามรูปพอก่อน (จริงๆ ถ่ายมาเยอะกว่านั้น) เบื้องต้นก็ต้องบอกว่าภาพที่ได้ ก็สมราคาคุยที่ว่าได้คะแนนถ่ายภาพ 108 คะแนน (ซึ่งถือว่าสูงมาก) จาก DXOMark เลย
จากที่เห็น และได้ลอง สรุปเบื้องต้นได้แบบนี้ครับ
- AI camera ตรวจจับ Scene ได้ประมาณนึง เช่น อาหาร คน หรือ แมว อะไรแบบนี้ และมันช่วยปรับการตั้งค่าของกล้องให้ภาพออกมาดูดีขึ้นได้อีกนิดหน่อย แต่ว่าไม่ได้ช่วยอะไรเยอะมากเหมือนคู่แข่งจากจีนรายอื่นๆ ที่ผมเคยได้ลอง … แต่เดี๋ยวขอไปลองในอีกหลายๆ สถานการณ์ก่อน ก่อนที่จะมาสรุปแบบจริงจัง
- User Interface มันคล้ายๆ กับของ iOS โหมดโบเก้ก็ใช้หลักการคล้ายๆ กัน ส่งผลให้เรื่องการเว้นระยะห่างระหว่างกล้องกับวัตถุมีผลกับการถ่ายว่าจะถ่ายได้หรือไม่ได้ แต่ถ่ายเสร็จแล้วก็สามารถมาปรับการเบลอได้ ทำ Studio lighting ได้ด้วย
- เลนส์ Wide f1.8 แต่เวลาถ่ายแบบโคลสอัพไปที่วัตถุแล้ว ระยะชัดลึกนี่แบบเห็นชัดเจนมาก นิดเดียวก็เห็นอาการเบลอแล้ว เวลาถ่ายต้องดูดีๆ จริงๆ
เอาแค่พอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อทีหลัง ในรีวิวแบบเต็มเหนี่ยวจริงๆ อีกทีนะครับ