สำหรับคนที่จำเป็นต้องมีการถ่ายโอนข้อมูลนอกสถานที่เยอะๆ อย่างพวกช่างวิดีโอหรือช่างกล้อง และการพกพาฮาร์ดดิสก์แบบเดิมๆ มันก็เสี่ยงต่อการที่ข้อมูลจะสูญหายอันเนื่องมาจากตัวไดร์ฟเสียหายจากการตกหล่น หรือเปียกน้ำ อยากบอกว่า SanDisk Extreme Portable SSD นี่คือทางออกที่ดีมากทีเดียวเลยล่ะครับ เพราะทั้งเบา เร็ว และอึดจริงๆ
ตัวที่ผมเอามารีวิวให้อ่านนี่เป็นรุ่นความจุ 500GB ครับ ซึ่งตามสเปกแล้ว มันมีความเร็วสูงสุดในการอ่านได้มากถึง 550MB/s เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังรองรับมาตรฐาน USB 3.1 Gen 2 ที่ให้แบนด์วิธสูง 10Gbps และกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP55 สนนราคาปัจจุบัน ขายที่ Lazada คือ 6,090 บาท ณ เวลาที่เขียนบล็อกนี้อยู่ ในแพ็กเกจมันจะประกอบไปด้วย Warranty and Safety Guide, สาย USB Type-C แบบสั้น พร้อมตัวแปลง USB-C เป็น USB-A และตัว SanDisk Extreme Portable SSD เอง
ถ้าเทียบกับ WD My Passport SSD แล้ว สาย USB สั้นกว่าเยอะเลยครับ แต่ว่าดีไซน์ดูจะเหมือนกับการพกพาไปตะลุยสภาพแวดล้อมต่างๆ มากกว่า โดยพิจารณาจากวัสดุแล้ว สนนราคาค่าตัวปัจจุบันก็ถูกกว่า ในความจุใกล้เคียงกัน (WD My Passport SSD จะบอกว่าตัวเองจุ 512GB ส่วน SanDisk Extreme Portable SSD นี่จุ 500GB)
ดีไซน์เรียบๆ ไม่มีอะไรมาก มีเจาะรูเอาไว้สำหรับใครจะเอาสายมาคล้อง เผื่อจะคล้องไปกับพวกกระเป๋าสะพาย กระเป๋าเป้ เก๋ๆ ได้ ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อเป็นแบบ USB Type-C ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ ที่เชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊ฏรุ่นใหม่ๆ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตรุ่นใหม่ๆ ที่มีพอร์ต USB Type-C ได้โดยตรงเลย
จากรีวิวตามเว็บต่างๆ และเว็บเมืองนอก SanDisk Extreme Portable SSD ให้แบนด์วิธสูง การอ่านและเขียนได้ความเร็วระดับ 500MB/s ขึ้นไปเลยทีเดียว แต่ผมลองเอามาทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark เชื่อมต่อกับพอร์ต Thunderbolt 3/USB Type-C Gen 2 ซึ่งให้แบนด์วิธได้สูงที่สุดตามสเปกเป๊ะ บนโน้ตบุ๊ก ASUS ZenBook S UX391UA รุ่นท็อป Core i7-8550 แรม 16GB และ SSD ที่มีความเร็วในการอ่านระดับ 1.5GB/s ขึ้นไป เขียนระดับ 700MB/s ขึ้นไป ผลที่ได้ออกมาแบบนี้ครับ
จะเห็นว่าความเร็วในการเขียนและอ่านอยู่ที่ระดับประมาณ 440MB/s ทั้งคู่ครับ ต่ำกว่าสเปกอยู่ประมาณนึงเลย ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ลองเปลี่ยนโปรแกรมไปใช้ AS SSD Benchmark แล้วก็ได้ผลไปในทิศทางเดียวกัน เลยจำยอมครับ
ก็ต้องถือว่าความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากรีวิวเมืองนอก กับตัวโน้ตบุ๊กที่ผมใช้ทดสอบนั้น มันก็แตกต่างในหลายๆ ปัจจัยล่ะนะ ผมเป็นบล็อกเกอร์รีวิวแบบบ้านๆ ฉะนั้น ถือซะว่าเป็นตัวแทนของคนทั่วไปที่ใช้งานแบบจริงๆ ละกัน ความเร็วในการใช้งานจริงๆ ก็น่าจะได้ประมาณที่ผมทดสอบนั่นแหละ

ในส่วนของซอฟต์แวร์ SanDisk Extreme Portable SSD นี่มาพร้อมกับโปรแกรม SanDisk SecureAccess ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือโปรแกรม END DataVault เวอร์ชัน Basic ครับ ซึ่งเราสามารถอัพเกรดเป็นเวอร์ชันโปรได้ด้วย โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม $14.99 ซึ่งจะทำให้เพิ่มฟีเจอร์เช่น Auto backup หรือ Synchronization มาให้ด้วย (ซึ่งพวกนี้มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่แถมมาใน WD My Passport SSD … อ้อ! ที่มันแพงกว่าก็เพราะค่าซอฟต์แวร์นั่นเอง) ตรงนี้ใครจะใช้ต้องระวังนะครับ ลืมรหัสผ่านนี่ อดเข้าถึงข้อมูลเลยนะครับ ถ้าจะใช้ ก็อย่าลืมหาวิธีจดหรือจำรหัสผ่านเอาไว้ด้วย
สนนราคา 6,090 บาท กับความจุที่ได้ 500GB ถือว่าแพงเอาเรื่องอยู่ครับ แต่มันแลกมาด้วยจุดเด่นสามเรื่อง คือ น้ำหนักที่เบามาก กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP55 ซึ่งแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดกันตกน้ำไปเลย แต่ก็กันพวกน้ำสาด น้ำกระเด็นใส่ พูดง่ายๆ ตากฝนก็ไม่ต้องห่วงว่าจะพัง และสุดท้ายคือ ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงกว่าฮาร์ดดิสก์แบบปกติมาก
คนที่จะได้ประโยชน์จาก SanDisk Extreme Portable SSD นี่จริงๆ น่าจะเป็นพวกช่างภาพวิดีโอ หรือตากล้อง ที่ต้องเดินทางไปถ่ายงาน ซึ่งต้องการฮาร์ดดิสก์พกพาที่มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูง และในขณะเดียวกันก็ต้องการตัวที่พกพาไปแบบสมบุกสมบันได้ (การซื้อ SSD มาใส่กล่องฮาร์ดดิสก์ไม่น่าจะใช่คำตอบ) ซึ่งก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความจุ เพราะในไทย เราสามารถหาซื้อความจุสูงสุดได้ 1TB ครับ (11,700 บาท ตามราคาของ SanDisk Official Store บน Lazada ณ วันที่เขียนบล็อกนี้) หรืออีกกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ก็คือ คนทั่วไปหรือคนทำงานนี่แหละ ที่มีความจำเป็นต้องเอาฮาร์ดดิสก์พกพาออกไปไหนมาไหนด้วย และต้องการตัวที่มีความทนต่อสถานการณ์ที่สมบุกสมบันพอสมควร
ใครสนใจ ตัวที่ผมรีวิว ความจุ 500GB นี่ ไปหาซื้อได้จากเว็บ Lazada ครับ