เผื่อใครไม่รู้ เมื่อคืน Apple เขาเปิดตัว iPad Pro (2018) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ โดยเปิดตัวสองที่สองขนาด คือ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว โดยจาก Keynote เมื่อคืน สังเกตได้เลยว่า Apple วางตำแหน่ง iPad Pro เป็นอุปกรณ์พกพาสำหรับ Power user ชัดเจนมาก เพราะไม่เพียงแต่กะจะเจาะตลาดคนทำงานเท่านั้น Apple ยังมองไปที่ตลาดคนเล่นเกมด้วย โดยอวดเลยว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ iPad สามารถมีกราฟิกสู้พวกเครื่องเกมคอนโซลได้ซะที แต่แน่นอนว่า iPad Pro (2018) นี่ก็มาสไตล์ iPhone Xs/Xs Max กันเลยทีเดียวครับ สนนราคาค่าตัวของมันก็ใช่ย่อย เรียกว่ารุ่นท็อปๆ เนี่ยแพงระดับ (หรือแพงกว่า) MacBook Pro ซะอีก คำถามก็เลยมีอยู่ว่า ราคาแรงใช่ย่อยขนาดนี้ เอามาใช้แทนโน้ตบุ๊กซะเลย ดีไหม? คุ้มหรือเปล่า? ผมเลยขอเขียนบล็อกตอนนี้ให้อ่านกันก่อนว่า ผมมองเรื่องนี้ยังไง เผื่อมันจะตรงใจใครบางคน (ฮา)

จริงๆ เรื่องราคาที่แสนจะแรงของ iPad Pro นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่นะครับ iPad Pro รุ่นก่อนหน้า ราคาก็แรงประมาณนึงแหละ ผมสอย iPad Pro 10.5″ (ตัวที่ใช้พิมพ์บล็อกตอนนี้อยู่ ณ ขณะนี้) มาพร้อมกับ Smart keyboard และ Apple Pencil ก็ปาเข้าไปสี่หมื่นต้นๆ แล้ว และสำหรับราคาเริ่มต้นของ iPad Pro (2018) อยู่ที่ 28,900 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว WiFi-only และ 35,900 บาท สำหรับรุ่น 12.9 นิ้ว WiFi-only ซึ่งบอกตรงนี้เลยว่า ราคาระดับนี้ หาโน้ตบุ๊ก Core i5-8250U แรม 8GB SSD 256GB จอ 13.3 นิ้วความละเอียด Full HD ที่มาพร้อมกับลำโพงดีๆ อย่าง Harman Kardon หรือ B&O ได้สบายๆ เลยครับ (ราคาอยู่แถวๆ 29,900 บาท เพิ่งพาแฟนไปสอย ASUS ZenBook 13 UX331UAL มา ไว้จะรีวิวให้ได้อ่านกัน) ในขณะที่ iPad Pro (2018) ในราคาเริ่มต้น จะได้ความจุแค่ 64GB เท่านั้นเอง
นี่ยังไม่นับที่จะต้องไปซื้อ Apple Pencil กับ Smart keyboard อีกนะ… แล้วแบบนี้มันจะคุ้มไหมเนี่ย?
iPad Pro คล่องตัวกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป
ด้วยความเห็นส่วนตัวของผม การที่ผมเลือกสอย iPad Pro 10.5″ มาใช้งานนั้น มันมีเหตุผลมาจากความคล่องตัวครับ iPad Pro เป็นแท็บเล็ตที่พกพาสะดวก และเมื่อผนวกกับ Smart keyboard ก็ทำให้สามารถทำงานระดับพื้นๆ อย่างท่องเว็บ เช็กและตอบอีเมลยาวๆ ได้สบายๆ และแอปหลายๆ ตัว ก็ช่วยทำให้มันสามารถทำงานได้ระดับน้องๆ โน้ตบุ๊ก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเอกสาร (Pages หรือ Microsoft Word) งานนำเสนอ (Keynotes หรือ Microsoft PowerPoint) หรือแม้แต่การตกแต่งภาพหรือตัดต่อวิดีโอ

จุดเด่นที่ทำให้เลือกพก iPad Pro ก็คือ
- น้ำหนักที่เบา ขนาดที่ไม่เทอะทะ ไม่หนา พกพาสะดวก ใครทำงานนำเสนอบ่อยๆ พกอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับจอแสดงผลครบแล้ว พก iPad ไปนำเสนอ สะดวกกว่าพกโน้ตบุ๊กมาก
- ความสามารถในการเป็น Always-on หรือ เปิดพร้อมใช้งานเสมอ แค่กดปุ่ม Power เปิดหน้าจอ ก็พร้อมใช้แล้ว
- ยิ่งถ้าใครใช้ iPhone อยู่ ยิ่งอำนวยความสะดวกเวลาต้องการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพราะ Apple ออกแบบ UX มาดีมาก สามารถกดจาก iPad Pro เพื่อเปิดการแชร์เน็ตจาก iPhone ได้เลย ไม่ต้องไปหยิบ iPhone มากดเปิด ส่วนใครอยากได้การเชื่อมต่อแบบสะดวกกว่านี้ ก็กัดฟันซื้อรุ่น WiFi + Cellular สิ

นี่ยังไม่นับเรื่องที่ iPad Pro ก็ทำงานแบบ Multitasking เปิดแอปสองหน้าจอพร้อมกันได้ (ไม่ได้รองรับไปซะทุกแอป) ในแบบที่ Android หรือ Windows ที่แม้จะยังไม่ได้มีประโยชน์สุดๆ (สำหรับผม) แต่มันก็ช่วยให้งานบางอย่างราบรื่นนะ เช่น ตอนผมจดโน้ตการเรียนภาษาจีน ผมก็ต้องเปิดแอปดิกชันนารีไปด้วยพร้อมๆ กันกับ Microsoft OneNote มันสะดวกมากนะนาย
ระบบ File system ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS11 ซึ่งทำให้การเซฟไฟล์งานแล้วเปิดข้ามแอปสามารถทำได้(ซะที) ก็ทำให้ iOS มีลักษณะที่คล้ายกับระบบปฏิบัติการบนโน้ตบุ๊กมากขึ้น (Android ทำมาได้นานแล้ว)
เพราะความที่ iPad Pro ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก แอปก็ถูกพัฒนาออกมาเพื่ออุปกรณ์โดยเฉพาะ มันจึงรีดพลังประมวลผลของเครื่องได้ดี และการใช้งานจึงราบรื่นอย่างมาก ซึ่งในจุดนี้บอกตรงๆ ว่าใช้โน้ตบุ๊กที่สนนราคาพอๆ กัน มันหาประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้ (ในความเห็นของผม)
และบอกตรงๆ ว่าดีไซน์แบบแท็บเล็ต ทำให้เจ้านี่เหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อความบันเทิง (เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง) มากกว่าโน้ตบุ๊กซะอีกนะ ลำโพง 4 ตัว ดังกระหึ่ม เสียงดีมากมาย ผมนี่พกเอาไว้ดูหนังบนเครื่องบิน แบบไม่ต้องง้อหนังบนเครื่องบินเลยเหอะ
แบตเตอรี่ของ iPad Pro ก็อึดกว่ามากมายครับเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊ก จะยี่ห้อไหนรุ่นไหนที่บอกว่าแบตเตอรี่อยู่ได้ 8-16 ชั่วโมง พอใช้งานจริงๆ มันไม่เคยอยู่ได้ถึงอ่ะ ส่วนใหญ่ที่ผมเจอก็จะอยู่แถวๆ 5-6 ชั่วโมง ยิ่งถ้าน้ำหนักพอๆ กับ iPad Pro นะ ยิ่งเทียบกันไม่ติด แถม iPad Pro ก็ชาร์จแบตง่ายกว่าด้วย แค่มีสาย Lightning กับ PowerBank ก็พอแล้ว ยิ่งรุ่นปี 2018 ที่เปลี่ยนจาก Lightning มาเป็น USB Type-C แล้ว ยิ่งทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้นอีก (ปีหน้า iPhone อาจจะเปลี่ยนมาใช้ USB Type-C บ้าง)
แต่นี่ก็คือสิ่งที่ iPad Pro ยังทำแทนโน้ตบุ๊กไม่ได้
ในขณะที่งานหลายๆ อย่างที่ทำบนโน้ตบุ๊ก เอามาทำบน iPad Pro ได้แล้ว (และเราก็เลือกที่จะจ่ายแพงระดับโน้ตบุ๊ก เพื่อให้ได้มาซึ่ง iPad Pro ที่ความสามารถน้อยกว่า แต่ให้ความสะดวกในการพกพามากกว่า) มันยังคงมีหลายๆ อย่างที่ iPad Pro ยังทำไม่ได้ดีเท่า และทำให้เราต้องเลือกว่าจะซื้อทั้งสองอย่างแล้วเลือกพกตามความเหมาะสม หรือไม่ก็ตัดใจซื้อโน้ตบุ๊กเพียงอย่างเดียวไปเลย เพราะ
การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ยังไม่เพียงพอ หรือยังไม่สะดวกพอ
เช่น การเชื่อมต่อกับพวก MicroSD card หรือ Flashdive หรือ External HDD เพื่อถ่ายโอนไฟล์ ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีอะแด็ปเตอร์มาช่วย แต่ก็ใช้ได้กับพวกไฟล์มัลติมีเดียเป็นหลัก ไม่ใช่พวกไฟล์เอกสารหรืออื่นๆ ซึ่งตรงนี้พวกโน้ตบุ๊กก็ยังทำได้ดีกว่าต่อไปอีกพักใหญ่ๆ ล่ะ
การเชื่อมต่อกับพวกพริ้นเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ก็อาจจะยังสู้พวกโน้ตบุ๊กไม่ได้ คือ อาจจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ iPad Pro ได้นะ แต่ก็มีราคาที่พิเศษกว่าชาวบ้านเขาหน่อยล่ะ เพราะมันต้องพัฒนามากกว่าแค่ไดรเวอร์
พวกแอปงานเอกสารอย่าง Microsoft Office ยังไม่เทียบเท่าตัวใหญ่ 100%
ขนาด Microsoft อัพเกรดให้ Office for macOS มีความใกล้เคียงกับ Office for Windows มากขึ้นเยอะแล้ว ไฟล์ที่ทำบน Office for macOS (โดยเฉพาะที่เป็นภาษาไทย) ยังมีโอกาสเปิดบน Windows แล้วเพี้ยนเลย
ไอ้เวอร์ชันบน iOS นี่ยิ่งมีโอกาสเพี้ยนมากกว่าอีกครับ และความสามารถของเวอร์ชันบน iOS นี่ก็เทียบไม่ได้กับเวอร์ชันของ macOS หรือ Windows ด้วย มันจะใกล้เคียงกับเวอร์ชันบนเว็บมากกว่า มันจึงเหมาะกับการเอามาใช้ร่างงานเอกสารหรือรีวิวงานเอกสาร มากกว่าทำส่งใช้พิมพ์จริง
ความคุ้มค่าของ iPad Pro อยู่ที่การพกพา และประสบการณ์ใช้งาน
ในความเห็นส่วนตัวของผม ความคุ้มค่าของ iPad Pro เนี่ย ไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพการทำงาน แต่อยู่ที่การพกพาครับ iPad Pro เล็กๆ เบาๆ ถ้าสามารถพกไปแทนโน้ตบุ๊กได้ แล้วเพียงพอต่อการใช้งาน มันสะดวกกว่าเยอะมาก และการที่ Apple ออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience: UX) ให้ทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ของ Apple เอง (MacBook, iPad, iPhone) ได้อย่างเนียน มันจึงสะดวกมาก
ลองคิดง่ายๆ นะครับ พก iPad Pro ไปใช้จดบันทึกในงานเสวนา หรือเวิร์กช้อป เอา iPhone ถ่ายภาพสไลด์ที่เขานำเสนอ หรือรูปบรรยากาศในงาน แล้วมันจะส่งขึ้น iCloud ซึ่งจะมาโผล่บน iPad Pro โดยอัตโนมัติ (ต้องมีอินเทอร์เน็ตนะ) หรือไม่งั้นก็ใช้ AirDrop ในการส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สามารถเอารูปไปใช้ต่อด้วยแอปอื่นๆ ได้ เช่น Microsoft OneNote, Word อะไรแบบนี้ มันเป็นความสะดวกที่โน้ตบุ๊กทั่วไปมันให้ไม่ได้ หรือถ้าจะทำกันแบบนั้นจริงๆ ก็ต้องมีการติดตั้งโปรแกรมเสริม และการตั้งค่าต่างๆ พอสมควร ยกตัวอย่างเช่น กรณีของการถ่ายรูปแล้วส่งข้ามอุปกรณ์เพื่อนำไปใช้งานต่อ ก็อาจจะต้องเซ็ตแอป Cloud storage อย่าง Google Drive, Dropbox หรือ OneDrive เพื่อให้อัพโหลดรูปจากสมาร์ทโฟนไปที่ Cloud storage โดยอัตโนมัติ แล้ว Sync กลับไปที่โน้ตบุ๊ก เป็นต้น ในขณะที่ iPad Pro และ iPhone นั้น แทบจะเป็น Default มาบนระบบปฏิบัติการเลย
ราคาของ iPad Pro ผมมองว่าไม่คุ้มค่าหรอก ถ้าคิดว่าจะเอาประสิทธิภาพหรือความสามารถในการทำงาน แต่มันจะคุ้มค่าถ้าเรามองไปที่ความสะดวกในการพกพา ใช้งาน และประสบการณ์ในการใช้งาน ในระดับที่ iPad Pro สามารถทำแทนโน้ตบุ๊กได้