เคยได้ยินคำว่า สังคมไร้เงินสด กันบ้างไหมครับ? มันไม่ได้หมายความว่าเรายากแค้นจนไม่มีเงินสดจะใช้นะ แต่มันหมายถึงว่า เรายกเลิกการใช้เงินสดในการซื้อขายแลกเปลี่ยน แล้วหันมาใช้ช่องทางอื่น เช่น บัตรเครดิต การโอนเงินผ่านแอปหรือมือถือ อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งผมได้ไปเห็นมาตอนเดินทางไปอัมสเตอร์ดัมเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี่แหละครับ
สังคมไร้เงินสด ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเป็นหลัก ฉะนั้นอย่าลืม PIN
ตอนผมลงเครื่องที่สนามบิน Schiphol ประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยความที่ว่าผมต้องเดินทางไปอีกเมืองเพื่อเข้าประชุม ผมก็เลยต้องเอาง่ายๆ พักที่โรงแรม CitiM ที่สนามบินนั่นแหละ เป็นครั้งแรกที่พักโรงแรมตรงสนามบิน และเข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงเลือกพักกันในโรงแรมแบบนี้ ก็มันสะดวกต่อการเดินทางจริงๆ

แขกที่จองห้องพักแบบออนไลน์ไป สามารถใช้เคาน์เตอร์ Self-checkin ในการออกคีย์การ์ดได้เองเลยครับ ไม่ต้องไปง้อพนักงาน (แต่จริงๆ พนักงานต้อนรับดีมาก ขอบอก … ผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ อ่านต่อไปสิ) แค่ระบุเลขที่ใบจอง แล้วก็สอดบัตรเครดิตเพื่อจ่ายค่าภาษีโรงแรม ซึ่งต้องจ่ายแยกต่างหาก ไม่สามารถจ่ายได้ตั้งแต่ตอนจองห้อง แอบรู้สึกวุ่นวายนิดๆ จากนั้นก็เอาคีย์การ์ดเปล่าๆ มาแตะตรงจุดที่กำหนด แค่นี้ก็ได้คีย์การ์ดไปเปิดห้องแล้วครับ
แต่ผมมาบรรลัยตอนที่จะจ่ายค่าภาษีด้วยบัตรเครดิตนั่นแหละ เพราะการยืนยันตัวตนมันต้องใช้ PIN 4 หลักของบัตร ซึ่งผมว่าคนไทยผู้ใช้บัตรเครดิตแล้วไม่ได้คิดเอาไปกดเงินสด ไม่มีใครจำ PIN 4 หลักได้ครับ สรุปเลยอดใช้ไอ้ Self-checkin แล้วก็ต้องไปให้พนักงานช่วยดำเนินการให้

ด้วยความที่ไม่คิดว่าจะได้ทำอะไรมากมายนักในอัมสเตอร์ดัม เลยไม่ได้เตรียมตัวหาข้อมูลอะไรมาเลยเกี่ยวกับประเทศนี้ นอกจากว่ามีที่ให้เที่ยวนิดหน่อย ในระหว่างครึ่งวันที่ผมว่าง คือ ไปที่ Dam Square, ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ, เข้าชมพระราชวัง, แวะย่านโคมแดง (ไปดูเฉยๆ ไม่ได้ไปทำอะไรอย่างอื่น) อะไรแบบนี้ เลยส่งผลให้ผมโก๊ะมากๆ เวลาจะขึ้น Tram
ขึ้นมาปุ๊บ พบว่าเขาเลิกรับเงินสดแล้วจ้า (เป็นอะไรที่ประเทศไทยเราพยายามจะทำกับรถเมล์ในกรุงเทพฯ แล้วล่มไม่เป็นท่า) ทางเลือกในการชำระค่ารถมีสองทางคือ ใช้บัตรที่ชื่อว่า OV-chipkaart ซึ่งก็คล้ายๆ บัตร Octopus ของฮ่องกงอ่ะ มันจะมีทั้งแบบ Personal OV-chipkaart แบบระบุตัวเจ้าของ อันนี้สำหรับคนประเทศเขา ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเรา เขาบอกให้ใช้ Anonymous OV-chipkaart (คล้าย Personal OV-chipkaart คือ เติมเงินได้ แต่มันจะไม่มีข้อมูลตัวเรา) หรือ Disposable OV-chipkaart (อันนี้คือใช้แล้วทิ้ง ไม่เติมเงิน) หรืออีกวิธีคือใช้บัตรเครดิตนั่นแหละจ่าย ตรงที่คนขับเขามีเครื่องอ่านครับ

ตัว Disposable OV-chipkaart นี่ซื้อได้จากตู้ขายอัตโนมัติตรงป้าย Tram นั่นแหละ แน่นอนว่าใช้บัตรเครดิตซื้อครับ แต่ก็เช่นเคย มันต้องกด PIN เพื่อยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของบัตรเครดิต ผมก็เลยอดซื้อ และต้องไปซื้อบนรถ Tram แทน (จริงๆ อยากบอกว่าตอนขึ้นไม่รู้ว่าจ่ายเงินสดไม่ได้ ดีว่าเขารับบัตรเครดิต)
เข้าพิพิธภัณฑ์ซื้อตั๋วออนไลน์ หรือไม่ก็ใช้บัตรเครดิตซื้อตั๋วได้แถวเร็วกว่า หรือบางที่ไม่รับเงินสดเลย
ด้วยเวลาที่จำกัด ผมแวะไปพิพิธภัณฑ์ได้แค่สามที่ คือ พระราชวังหลวงอัมสเตอร์ดัม (Royal Palance Amsterdam), พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ และ พิพิธภัณฑ์ย่านโคมแดง (Museum of Prostitution) ที่ชื่อว่า Red Light Secret ครับ
พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะนี่คือว่าจองตั๋วไปจากที่กรุงเทพเลยครับ เพราะมันต้องซื้อล่วงหน้าออนไลน์ (แน่นอน ใช้บัตรเครดิต) เลือกวันเวลาที่จะไปเยี่ยมชม เพราะหากไปซื้อเอาหน้างาน ต้องลุ้นครับว่าจะมีรอบเหลือไหม และด้วยความที่บล็อกตอนนี้ไม่ใช่บล็อกรีวิวการท่องเที่ยว ฉะนั้นผมจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดในพิพิธภัณฑ์นะครับ

ส่วนพระราชวังหลวงอัมสเตอร์ดัมนั้น ยังใช้เงินสดซื้อบัตรเข้าชมได้อยู่ครับ แต่ว่าถ้าใช้บัตรเครดิตซื้อจะเข้าคิวได้เร็วกว่า แล้วก็สะดวกกว่าการพกเงินสดไปซื้อบัตรอ่ะ

และที่สุดท้าย Red Light Secrets นี่โหดสุดครับ คือไม่รับเงินสดเลย จะซื้อบัตรเข้าชมต้องใช้บัตรเครดิตสถานเดียวครับ อันนี้คิดว่าคงเพื่อไม่ให้เงินต้องผ่านมือพนักงานครับ รายได้เข้ามาเท่าไหร่ ตรวจสอบได้ง่ายด้วย

ฉะนั้น ใครจะไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมก็เตรียมตัวกันเอาไว้หน่อยนะครับ บัตรเครดิตก็จำ PIN ไปด้วย เผื่อจะต้องใช้ครับ หลายๆ ร้าน หลายๆ ที่นี่เริ่มไม่ใช้เงินสดกันแล้วครับ
แต่อัมสเตอร์ดัมก็ยังไม่ใช่สังคมไร้เงินสด 100% นะ
ใครจะไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม ยังไม่ต้องห่วงนะครับ เขายังไม่ใช่สังคมไร้เงินสด 100% ครับ แค่เริ่มทยอยงดรับเงินสดกันเรื่อยๆ แล้ว แต่พวกร้านค้าก็ยังรับเงินสดกันอยู่ครับ ไปซื้อขนม ไปซื้อข้าวเช้า มันก็ยังใช้เงินสดกันอยู่ครับ

ประโยชน์ของการเป็นสังคมไร้เงินสดมีเยอะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดต้นทุนการผลิตเงินสด ความสะดวกในการจับจ่าย เอาง่ายๆ นะ แค่ตอนที่ธนาคารเปลี่ยนมาเป็นยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างธนาคารผ่านแอป ผมประหยัดเวลาการเข้าธนาคารเพื่อทำธุรกรรมไปเดือนนึงๆ 2-3 ชั่วโมงเลยนะเออ ในแง่ของการท่องเที่ยวก็ทำให้สะดวกต่อนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะไม่ต้องไปวุ่นวายกับการแลกเงินครับ สามารถจับจ่ายใช้สอยด้วยบัตรเครดิตไปเลย เดี๋ยวตอน Statement มามันก็แปลงเป็นสกุลเงินของเราเองให้เรียบร้อย อะไรแบบนี้อะ